นักลงทุนคริปโตแห่ขอสัญชาติ! หลายประเทศเปิดรับบิตคอยน์(BTC)–เทเธอร์(USDT) แลกสิทธิพำนักปี 2025

ขณะที่โปรแกรมการอพยพสำหรับผู้ถือครองคริปโตเคอเรนซีเริ่มขยายตัวไปทั่วโลก ขณะนี้ผู้ที่ถือ *บิตคอยน์(BTC)*, *อีเธอเรียม(ETH)* หรือแม้แต่ *เหรียญเสถียร* ก็สามารถใช้ทรัพย์สินดิจิทัลของตนในการขอสัญชาติหรือสิทธิอยู่อาศัยในหลายประเทศได้ ซึ่งสะท้อนถึงวิวัฒนาการของโครงการการลงทุนเพื่อการย้ายถิ่นที่เคยรองรับแค่เงินสกุลปกติ สู่การเปิดรับแนวทางใหม่ที่เหมาะกับนักลงทุนยุคคริปโตอย่างเต็มรูปแบบ

หนึ่งในประเทศที่เคลื่อนไหวเร็วคือ ‘บานูอาตู’ แม้ว่ารัฐบาลจะยังไม่รับชำระด้วยคริปโตโดยตรง แต่ก็มีตัวแทนที่ได้รับอนุญาตให้รับ *บิตคอยน์* หรือ *เหรียญเสถียร* และแปลงเป็นสกุลเงินท้องถิ่นเพื่อใช้ยื่นเอกสารอย่างเป็นทางการ โดยมีเกณฑ์การลงทุนขั้นต่ำอยู่ที่ 130,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.8 ล้านบาท) สำหรับบุคคลเดี่ยว และ 180,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.5 ล้านบาท) หากรวมครอบครัว จุดเด่นของโครงการนี้คือไม่ต้องสอบภาษา ไม่กำหนดระยะเวลาพำนัก และสามารถดำเนินการทั้งหมดจากระยะไกล เงื่อนไขที่ดึงดูดใจ ได้แก่ ‘เข้าประเทศได้โดยไม่ต้องขอวีซ่ากว่า 90 ประเทศ’, ‘ไม่มีภาษีรายได้ส่วนบุคคลหรือภาษีกำไรจากเงินทุน’ และ ‘อนุญาตให้ถือสองสัญชาติ’ ทำให้เหมาะกับ *ดิจิทัลโนแมด* อย่างยิ่ง

ด้านประเทศแถบแคริบเบียนอย่าง ‘โดมินิกา’ และ ‘เซนต์ลูเซีย’ ก็เริ่มใช้นโยบายพลเมืองแบบครอบครัวยืดหยุ่น ที่อนุญาตให้ลงทุนผ่าน *บิตคอยน์* หรือ *เทเธอร์(USDT)* ได้เช่นกัน โดยโดมินิกากำหนดวงเงินขั้นต่ำ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.7 ล้านบาท) ขณะที่เซนต์ลูเซียต้องการการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อย่างน้อย 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.1 ล้านบาท) ทั้งสองประเทศใช้รูปแบบ ‘การลงทุนทางอ้อม’ ผ่านตัวแทนที่เชื่อถือได้ ผู้สมัครสามารถดำเนินกระบวนการทั้งหมดจากต่างประเทศได้ภายในเวลาเพียง 4-9 เดือน ข้อดีเพิ่มเติมคือ ‘ไม่ต้องพำนักประจำ’, ‘นำครอบครัวร่วมได้’, และ ‘ได้รับการยกเว้นวีซ่าในการเดินทางไปยุโรป, สหราชอาณาจักร, สิงคโปร์ และฮ่องกง’

ในฝั่งยุโรป ‘โปรตุเกส’ เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เปิดทางให้ผู้ถือครองคริปโตเข้าถึง ‘สิทธิพำนักและสัญชาติ EU’ ผ่านโครงการ ‘Golden Visa’ ที่เปลี่ยนแนวทางตั้งแต่ปี 2023 จากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มาเป็น ‘กองทุนร่วมลงทุนภายในประเทศ’ หรือ ‘สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชน’ โดยส่วนใหญ่ใช้ยอดลงทุนที่ 500,000 ยูโร (ประมาณ 7.4 ล้านบาท) ผู้ถือครองคริปโตสามารถแปลงเงินผ่านกองทุนที่ได้รับอนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย โปรเจกต์นี้มีข้อได้เปรียบเช่น ‘ต้องพำนักในประเทศปีละเพียง 7 วัน’, ‘สามารถรวมครอบครัว’, ‘มีสิทธิขอสัญชาติหลัง 5 ปี’, และ ‘ยกเว้นภาษีจากสินทรัพย์คริปโตที่ถือครองระยะยาว’ อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครควรตระหนักถึง ‘ความเปลี่ยนแปลงของนโยบายในอนาคต’ และ ‘ระยะเวลารอที่อาจยาวนาน’

แต่โครงการที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือของ ‘เอลซัลวาดอร์’ ที่เปิดตัว ‘Freedom Visa’ ปลายปี 2023 ซึ่งถือเป็นโครงการแรกของโลกที่ใช้ *บิตคอยน์* หรือ *เทเธอร์* เป็นรูปแบบลงทุนโดยตรงเพื่อขอสัญชาติและสิทธิพำนักในประเทศนี้ เพียงลงทุน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 13.9 ล้านบาท) โดยผู้สมัครต้องจ่ายค่าสมัครเริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.4 แสนบาท) และจ่ายส่วนที่เหลือเมื่อได้รับอนุมัติ จุดเด่นอยู่ที่ ‘กระบวนการดำเนินการด้วยคริปโตทั้งระบบ’, ‘ไม่จำเป็นต้องพำนักในประเทศ’ และ ‘สามารถได้รับสัญชาติภายในไม่กี่เดือน’ ทำให้ถูกยกให้เป็นโมเดลต้นแบบสำหรับ ‘โครงการสัญชาติเฉพาะทางของนักลงทุนคริปโต’ โดยกำหนดจำนวนไว้ไม่เกิน 1,000 รายต่อปี พร้อมด้วยเครือข่ายเทคโนโลยีที่จัดทำร่วมกันระหว่างรัฐบาลเอลซัลวาดอร์และ *เทเธอร์*

กล่าวโดยรวม โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่การครอบครอง *คริปโตเคอเรนซี* เพียงอย่างเดียวสามารถเปิดประตูสู่ประเทศใหม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความรวดเร็วของการออกสัญชาติใน *บานูอาตู*, ความยืดหยุ่นของประเทศแถบ *แคริบเบียน*, เส้นทางสู่สหภาพยุโรปใน *โปรตุเกส*, หรือการเปิดรับคริปโตอย่างเต็มตัวของ *เอลซัลวาดอร์* ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงโฉมหน้าใหม่ของโครงการการอพยพที่เน้นกลุ่ม ‘นักลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลระดับสูง’ ในปี 2025 ซึ่งการลงทุนมีตั้งแต่ 100,000 ถึง 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มขยายวงครอบคลุมมากขึ้นในอนาคต ตามการรับรองของ *การชำระด้วยคริปโต* ที่เริ่มกลายเป็นความจริงในภาครัฐหลายประเทศ.