บิทมายน์ อิมเมอร์ชัน(BitMine Immersion: BMNR) บริษัทเหมืองบิตคอยน์(BTC) ที่ถือครองอีเธอเรียม(ETH) มากที่สุดในกลุ่มบริษัทจดทะเบียน ได้อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนวงเงินสูงถึง *1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 39,000 ล้านบาท)* โดยมีแผนจะเข้าซื้อหุ้นคืนจากตลาดหรือเจรจาซื้อจากผู้ถือหุ้นรายอื่นอย่างต่อเนื่อง
การตัดสินใจครั้งนี้เกิดจากการที่ราคาหุ้นของบริษัทซื้อขายอยู่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีสุทธิ (NAV) ขณะที่บริษัทประเมินว่า การซื้อหุ้นคืนจะให้ผลตอบแทนดีกว่าการซื้ออีเธอเรียมเพิ่ม
บิทมายน์ประเมินมูลค่าทางบัญชีสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 22.76 ดอลลาร์ (ประมาณ 31,600 บาท) โดยปัจจุบันถือครองสินทรัพย์คริปโตอยู่ที่ประมาณ 625,000 ETH (ราว 3.27 แสนล้านบาท) และ 192 BTC (ราว 3.05 พันล้านบาท) บริษัทมีเป้าหมายที่จะใช้ ‘ความแตกต่างระหว่างราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชี’ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งเสริมสร้างมูลค่าต่อหุ้นในระยะยาว และช่วยให้นักลงทุนได้สัมผัสการถือครองอีเธอเรียมทางอ้อม
ทอม ลี(Tom Lee) ประธานบอร์ดบริหารของบิทมายน์ ชี้ว่า “การซื้อหุ้นคืนอาจเป็นวิธีใช้ทุนที่มีประสิทธิภาพที่สุดในขณะที่เรามุ่งไปยังเป้าหมายในการถือครอง ETH ให้ได้ 5% ของซัพพลายทั้งหมด” โดยเขารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา และยังเผยแพร่ “จดหมายผู้บริหาร” รายเดือนเพื่ออัปเดตแผนกลยุทธ์ของบริษัท
บิทมายน์ยังเปิดเผยว่ามีสินทรัพย์สภาพคล่องรวมกว่า 401 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.5 พันล้านบาท) ซึ่งเพียงพอต่อการดำเนินโครงการซื้อคืนหุ้นได้โดยไม่กระทบแผนการเงิน
ก่อนหน้านี้เมื่อปลายเดือนมิถุนายน บริษัทได้เปิดตัวแผน “*5% ของศาสตร์ทางการเงิน (The Alchemy of 5%)*” โดยประกาศเป้าหมายถือครองและสเตกอีเธอเรียมให้ได้ถึง 5% ของอุปทานรวม โดยในรายงานฉบับล่าสุด ทอม ลี เรียกอีเธอเรียมว่าเป็น “เครื่องมือการลงทุนเชิงมหภาคที่สำคัญที่สุดในช่วง 10 ปีข้างหน้า” พร้อมมองว่า *สเตเบิลคอยน์อาจเป็นโมเมนต์แบบ ChatGPT ของคริปโต* และจากที่ประมาณครึ่งหนึ่งของสเตเบิลคอยน์ทั้งหมดถูกออกบนเครือข่ายอีเธอเรียม เขาจึงเชื่อว่าการใช้งานสเตเบิลคอยน์จะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนมูลค่าอีเธอเรียมในอนาคต
ขณะเดียวกัน บิทมายน์ยังคงทำรายได้จากการขุดบิตคอยน์อย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยี *ระบายความร้อนด้วยระบบแช่* เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
อย่างไรก็ตาม ตำแหน่ง ‘บริษัทจดทะเบียนผู้ถือครองอีเธอเรียมอันดับ 1’ ของบิทมายน์เริ่มเผชิญความท้าทาย เมื่อบริษัทเกมดิจิทัล ชาร์ปลิงก์ เกมมิ่ง(Sharplink Gaming Inc.) ประกาศว่าได้ซื้อเพิ่มอีก 77,210 ETH จนมีทั้งหมด 438,190 ETH (ประมาณ 2.21 แสนล้านบาท)
โจ รูบิน(Joe Lubin) ประธานบอร์ดของชาร์ปลิงก์ และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งอีเธอเรียม ระบุว่า บริษัทกำลังเร่งสะสม ETH ภายใต้เป้าหมายถือครองให้ได้สูงที่สุดต่อหุ้นในรูปแบบ *fully diluted* พร้อมย้ำว่า “การใช้เลเวอเรจจะอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด” และเปิดเผยเป็นนัยถึงยุทธศาสตร์สะสมเชิงรุกแม้จะดำเนินด้วยความระมัดระวังก็ตาม
รายงานล่าสุดจากธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดชี้ว่า นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 บริษัทจดทะเบียนสะสม ETH ไปแล้วกว่า 1% ของอุปทานทั้งหมด โดย เจฟฟรี เคนดริก นักกลยุทธ์ของธนาคารระบุว่า “แนวโน้มถือครองคริปโตในลักษณะคลังสมบัติขององค์กรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น” พร้อมคาดการณ์ว่า *การถือครอง ETH ของกลุ่มบริษัทอาจเพิ่มขึ้นได้มากกว่า 10 เท่า*
‘อีเธอเรียม’ จึงกลายเป็นศูนย์กลางเป้าหมายของกลยุทธ์การลงทุนระดับองค์กร โดยเฉพาะเมื่อบริษัทชั้นนำเริ่มมองเห็นศักยภาพในฐานะโครงสร้างพื้นฐานการเงินแห่งอนาคต และใช้เครื่องมืออย่างการถือครองโทเคนและซื้อหุ้นคืน มาเสริมความแข็งแกร่งในสมรภูมิคริปโตที่เร่าร้อนขึ้นทุกวัน
ความคิดเห็น 0