วีซ่า(Visa) บริษัทชำระเงินระดับโลก เปิดเผยว่าภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ได้มีการประมวลผลการชำระเงินด้วย *สเตเบิลคอยน์* รวมมูลค่ากว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,780 ล้านบาท) ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในความพยายามของบริษัทในการขยายโครงสร้างพื้นฐานสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล และเร่งบทบาทในตลาดคริปโตให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ตามรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด วีซ่าเปิดเผยว่าแพลตฟอร์มการชำระเงินด้วย *สเตเบิลคอยน์* ของบริษัทสามารถดำเนินการได้ตลอดทั้งสัปดาห์ และคุณสมบัตินี้ช่วยเพิ่ม ‘ความเร็วในการประมวลผลธุรกรรม’ อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ไรอัน แมกอินเนอร์นีย์(Ryan McInerney) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของวีซ่า ระบุว่า แม้เป็นความคืบหน้าเชิงบวก แต่ยังอยู่ในระดับเริ่มต้นเมื่อเทียบกับภาพรวมของกิจการทั้งหมด
นอกเหนือจากธุรกรรมด้วย *สเตเบิลคอยน์* แล้ว วีซ่ายังลงทุนในการพัฒนา ‘เครื่องมือชำระเงินแบบโปรแกรมได้ (Programmable Payment Tool)’ เพื่อสนับสนุนความเป็นผู้นำในระบบการชำระเงินดิจิทัล หนึ่งในเครื่องมือหลักคือ ‘แพลตฟอร์มสินทรัพย์โทเคนของวีซ่า (Tokenized Asset Platform)’ ที่ออกแบบมาเพื่อให้สถาบันการเงินแบบดั้งเดิมและฟินเทคสามารถออก *สเตเบิลคอยน์* และสร้างผลิตภัณฑ์อย่างระบบชำระเงินอัตโนมัติหรือการโอนเงินแบบมีเงื่อนไขได้ง่ายยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม โอกาสในการขยายตัวของอุตสาหกรรม *สเตเบิลคอยน์* ยังขึ้นอยู่กับ ‘ความชัดเจนของกรอบกำกับดูแล’ ซึ่งแมกอินเนอร์นีย์แสดงความหวังว่ารัฐบาลสหรัฐจะจัดทำกฎเกณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ และเสริมว่า หลายภูมิภาคทั่วโลก เช่น สหภาพยุโรปและฮ่องกง ก็กำลังดำเนินการในทิศทางเดียวกัน
กฎหมาย ‘GENIUS’ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนาม ยังถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญในการกำหนดพื้นฐานกำกับดูแลใหม่สำหรับผู้ออกและผู้ให้บริการ *สเตเบิลคอยน์* ทั่วสหรัฐ
จากความสำเร็จในไตรมาสนี้ วีซ่าวางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ *สเตเบิลคอยน์* และสินทรัพย์ดิจิทัล โดยแมกอินเนอร์นีย์เปิดเผยว่า งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครั้งถัดไปจะมีการแสดงโซลูชันการชำระเงินดิจิทัลที่ครอบคลุมมากขึ้น สะท้อนความมุ่งมั่นของวีซ่าในการเป็นผู้นำในตลาดการชำระเงินด้วย *คริปโตเคอร์เรนซี*
ความคิดเห็น 0