บริษัทเวิลด์ ลิเบอร์ตี้ ไฟแนนเชียล(WLFI) ซึ่งมี ‘ทรัมป์’ อยู่เบื้องหลัง กำลังเร่งเดินหน้าขยายการลงทุนใน *สเตเบิลคอยน์* และ *อีเธอเรียม(ETH)* อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสัปดาห์นี้ที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ถึงสองรายการ หลายฝ่ายมองว่าเป็นสัญญาณชัดเจนของ *กลยุทธ์การวางโครงสร้างพื้นฐานบนบล็อกเชน* อย่างแข็งขันของ WLFI
เมื่อไม่นานมานี้ WLFI ประกาศลงทุนกว่า *10 ล้านดอลลาร์* (ประมาณ 139 ล้านบาท) ในโครงการ *สเตเบิลคอยน์แบบสินทรัพย์ซ้อน* ‘ฟัลคอน ไฟแนนซ์(Falcon Finance)’ ตัวเหรียญมาตรฐานของฟัลคอนชื่อว่า *USDf* ใช้กลไก ‘โอเวอร์คอลแลทเทอรัล’ และมูลค่ารวมในตลาดได้ทะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์ไปเรียบร้อยแล้ว WLFI มีแผนจะนำเงินลงทุนครั้งนี้ไปพัฒนา *ระบบการทำงานร่วมกับหลายบล็อกเชน (multichain)* ปรับปรุง *โมดูลสัญญาอัจฉริยะ* และออกแบบกลไก *แบ่งปันสภาพคล่องระหว่าง USDf กับเหรียญภายในของบริษัทอย่าง USD1*
โดยตัวเหรียญ USDf นั้นจะเปลี่ยนระดับหลักประกันแบบเรียลไทม์ตามระดับความเสี่ยง และสามารถใช้สินทรัพย์ดิจิทัลหลากหลายประเภทเป็นหลักประกันได้ ขณะที่ USD1 ของ WLFI เน้นความมั่นคงผ่านการอ้างอิงเงินฝากดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะสั้นจึงมีความน่าเชื่อถือสูงกับการชำระคืนเป็น ‘สกุลเงินดอลลาร์’ แหล่งข่าวจากบริษัทระบุว่าจุดแข็งจากทั้งสองเหรียญจะช่วยเพิ่มการใช้งานในโลกจริงได้มากขึ้น
*แจ็ค โฟล์กแมน(Zak Folkman)* ผู้ร่วมก่อตั้ง WLFI กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “โมเดลหลักประกันที่ล้ำสมัยของฟัลคอนควบคู่กับโครงสร้างอิงสินทรัพย์ที่มั่นคงของ WLFI จะช่วยสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลที่เหมาะกับผู้ใช้งานหลากหลายกลุ่ม”
ในฝั่งของอีเธอเรียม WLFI ก็ยังเดินหน้าเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยแพลตฟอร์มวิเคราะห์ *Lookonchain* รายงานว่าในเดือนกรกฎาคม WLFI ได้ซื้อ *อีเธอเรียมจำนวน 256.75 เหรียญ* ที่ราคาเฉลี่ย 3,895 ดอลลาร์ต่อเหรียญ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 14 ล้านบาท ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้บริษัทยังเคยซื้ออีเธอเรียมเพิ่มอีก 3,473 เหรียญ และนำไป Staking ในโปรโตคอลของ *Aave*
ยอดการถือครองอีเธอเรียมทั้งหมดของบริษัทในปัจจุบันถูกประเมินว่าสูงถึง *77,226 เหรียญ* ซึ่งอยู่ที่มูลค่ารวมประมาณ 296 ล้านดอลลาร์ หรือราว 4,114 ล้านบาท และกำลังมี ‘กำไรยังไม่ขาย’ ที่อยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 584 ล้านบาท ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ยืนยันว่า WLFI ตั้งใจใช้ศักยภาพของอีเธอเรียม ทั้งเรื่อง *การขยายตัว* และ *ฟังก์ชันของสัญญาอัจฉริยะ* ในการสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินดิจิทัลที่หลากหลาย
หลายบทวิเคราะห์มองว่าโครงการของ WLFI ได้รับความสนใจไม่เพียงเพราะความเกี่ยวพันกับ *ทรัมป์* เท่านั้น แต่ครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามจริงจังในการขยาย *อิทธิพลต่อระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัล* ด้วยการลงทุนเชิงกลยุทธ์ โดยเฉพาะการโฟกัสที่สเตเบิลคอยน์และอีเธอเรียมนั้น ยังอาจปูทางสู่โอกาสสร้างความร่วมมือระดับสถาบัน พร้อมพัฒนา WLFI ให้กลายเป็น *ศูนย์กลางทางการเงินดิจิทัล* ในอนาคตอีกด้วย
ความคิดเห็น 0