สเตเบิลคอยน์ กำลังกลายเป็นหนึ่งใน ‘นวัตกรรมที่ใช้ได้จริง’ ที่สำคัญที่สุดของระบบนิเวศบล็อกเชนถัดจากบิตคอยน์(BTC) ความสามารถในการผสาน ‘ความเร็วและความยืดหยุ่น’ ของสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ากับ ‘เสถียรภาพของสกุลเงินทั่วไป’ ทำให้สเตเบิลคอยน์ถูกจับตามองในฐานะสะพานเชื่อมระหว่างระบบการเงินแบบดั้งเดิมและระบบแบบไร้ศูนย์กลาง โดยเฉพาะใน ‘ตลาดเกิดใหม่’ ที่เริ่มนำมาใช้เป็นทางเลือกสำหรับการโอนเงินที่เร็ว ราคาถูก และยืดหยุ่นต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
ด้วยศักยภาพนี้ กลุ่มธุรกิจการเงินรายใหญ่และบริษัทฟินเทคก็เริ่มเร่งเข้าสู่ตลาดสเตเบิลคอยน์อย่างจริงจัง เมื่อปีที่ผ่านมา เพย์พาล(PYPL) ได้ผลักดันมูลค่าตลาดของสเตเบิลคอยน์ของบริษัทชื่อ PYUSD ไปแตะระดับ 1 พันล้านดอลลาร์ (ราว 39,000 ล้านบาท) และกลายเป็นผู้เล่นรายสำคัญเทียบเคียงกับ USDC ของเซอร์เคิล และ USDT ของเทเธอร์ ขณะที่ในปีนี้ แบล็กร็อกประกาศแผนเข้าซื้อหุ้น 10% ของเซอร์เคิล ตอกย้ำว่าสเตเบิลคอยน์กำลังเข้าใกล้การเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงินกระแสหลักมากขึ้น
สิ่งที่น่าจับตายิ่งกว่าคือบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่นอกวงการเงิน เริ่มให้ความสนใจกับเทคโนโลยีนี้ โดยล่าสุด อเมซอน และ วอลมาร์ต เปิดเผยว่าอยู่ระหว่างการพัฒนาโทเคนที่มีมูลค่าผูกกับดอลลาร์ การก้าวเข้ามาของธุรกิจค้าปลีกระดับโลกสะท้อนว่า สเตเบิลคอยน์ไม่ใช่แค่ ‘เครื่องมือชำระเงิน’ แต่เป็น ‘สินทรัพย์เชิงกลยุทธ์’ ที่สามารถใช้ลดต้นทุนทางธุรกิจ ตัดคนกลาง และช่วยในการบริหารการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าของสเตเบิลคอยน์ไม่ได้มาพร้อมแต่โอกาสเท่านั้น หากยังแฝงความเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะ ‘ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน’ ซึ่งที่ผ่านมา มักถูกมองข้าม เนื่องจากการพัฒนาให้ความสำคัญกับเรื่องโครงสร้างค้ำประกัน การกำกับดูแล และประสิทธิภาพของการชำระเงิน มากกว่าการคุ้มครองข้อมูล
เนื่องจากสเตเบิลคอยน์ทำงานอยู่บนบล็อกเชนแบบสาธารณะ ทุกรายการธุรกรรมจะถูกบันทึกแบบถาวรและโปร่งใส ซึ่งหมายความว่าข้อมูลที่มีความอ่อนไหว เช่น ประวัติการซื้อสินค้า บริการที่ใช้ หรือแม้แต่การเข้าใช้สถานพยาบาลของลูกค้าธุรกิจ อาจตกอยู่ในสภาพที่ *ถูกเปิดเผยตลอดไป* ส่งผลกระทบต่อแผนธุรกิจและกลยุทธ์การแข่งขันของบริษัทเหล่านี้อย่างมีนัยสำคัญ
หากบริษัทยักษ์ใหญ่ออกสเตเบิลคอยน์ของตนเอง คู่แข่งอาจใช้ข้อมูลการใช้งานของโทเคนดังกล่าวเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้า กลยุทธ์ทางการตลาด หรือแม้แต่แนวโน้มรายได้ในแต่ละช่วงเวลา ความโปร่งใสในระดับที่ ‘ผิดปกติ’ นี้อาจนำไปสู่ความได้เปรียบด้านข้อมูล จนกลายเป็นความเสี่ยงต่อการกวาดตลาด การเก็งกำไรในหุ้น หรือแม้แต่การซื้อขายล่วงหน้า
หากไม่มีระบบคุ้มครองความเป็นส่วนตัวที่เพียงพอ การนำสเตเบิลคอยน์มาใช้ในวงกว้างจะเผชิญกับอุปสรรคใหญ่ เทคโนโลยีอย่าง ‘การเปิดเผยข้อมูลแบบเลือกได้’ จึงเป็นเครื่องมือเชิงเทคนิคที่จำเป็นต่อการได้รับการยอมรับในสังคมโดยรวม ทั้งนี้ ผู้ให้บริการสภาพคล่องเอง ก็อาจลังเลที่จะลงทุนในสภาวะแวดล้อมที่ไม่สามารถปกป้องข้อมูลของตนได้
นอกจากนั้น กฎหมายที่ออกมาโดยไม่มีรากฐานความเป็นส่วนตัวที่มั่นคง อาจไม่สามารถสร้างผลกระทบได้จริง เช่น ร่างกฎหมาย GENIUS ที่อยู่ระหว่างการผลักดันในวุฒิสภาสหรัฐ แม้จะเสนอกติกาเรื่องสินทรัพย์ค้ำประกันและการต่อต้านการฟอกเงิน แต่กลับไม่กล่าวถึงความเสี่ยงหลักอย่าง ‘การเปิดเผยข้อมูลโดยโครงสร้างของบล็อกเชน’ โดยชัดเจน ปัญหานี้จึงตกเป็นภาระของนักพัฒนาและนักออกแบบโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าจะเป็นของฝ่ายนิติบัญญัติ
ประเด็นสำคัญคือ หากต้องการให้สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการยอมรับตามกฎหมาย แต่ผู้ใช้และธุรกิจต้องแลกด้วยการเปิดเผยข้อมูลสำคัญ ย่อมกลายเป็นความขัดแย้งกับระบบการเงินดั้งเดิมที่เน้นการคุ้มครองข้อมูลลูกค้า ปัจจุบัน ระบบโครงสร้างของสเตเบิลคอยน์จำนวนมากยังไม่สามารถรองรับมาตรการทางกฎหมายหรือทางเทคนิคเพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์
ดังนั้น ในการออกแบบ *บล็อกเชนยุคใหม่* นักพัฒนาและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องหาจุด ‘สมดุล’ ระหว่างความโปร่งใสและความรับผิดทางกฎหมาย ขณะเดียวกันกับการรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน หนึ่งในเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการบรรลุเป้าหมายนี้ คือ ‘zero-knowledge proof’ หรือ ‘การพิสูจน์โดยไม่เผยข้อมูล’ ซึ่งเปิดให้สามารถตรวจสอบแบบเรียลไทม์ได้โดยไม่เปิดเผยข้อมูลผู้ใช้ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในระบบนิเวศสเตเบิลคอยน์
หากต้องการให้สเตเบิลคอยน์ถูกยอมรับเป็น ‘สินทรัพย์ทางการเงินที่ถูกกฎหมาย’ และก้าวขึ้นมาเป็นเครื่องมือชำระเงินระดับโลก การผ่านกฎเกณฑ์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีแนวทางที่รวมเอาการ *คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหัวใจของการออกแบบระบบ* ด้วย มิฉะนั้น สเตเบิลคอยน์อาจสูญเสียความเชื่อมั่นจากสาธารณชนและถูกผลักออกจากเวทีหลักของตลาดในที่สุด
ความคิดเห็น 0