ตลาด *สเตเบิลคอยน์* กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการพัฒนาแบบหลากมิติ โดยเฉพาะในสายของ *สเตเบิลคอยน์แบบสร้างรายได้* ซึ่งกำลังกลายเป็นแกนหลักของการเติบโตในระบบการเงินแบบออนเชน ตามรายงานฉบับล่าสุดของเมซซารี่ รีเสิร์ช(Messari Research) เมื่อเร็ว ๆ นี้ รายงานระบุว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 มูลค่าตลาดในกลุ่มนี้พุ่งขึ้นถึง 45% แตะ 12.4 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนแนวโน้มที่นักลงทุนเริ่มให้ความสนใจทางเลือกของสเตเบิลคอยน์ที่ให้ผลตอบแทน ไม่ใช่แค่รักษาราคาให้คงที่เท่านั้น
แม้จะเคยผ่านยุคของลูน่าและ UST ที่ล้มเหลว แต่ตลาดยังคงมีความต้องการ *สเตเบิลคอยน์แนวทดลอง* อย่างต่อเนื่อง โดยการออกเหรียญในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นถึง 85% ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2024 ชี้ให้เห็นว่าผู้เล่นรายใหม่ยังติดตามสองแนวทางหลัก ได้แก่ การแบ่งปันรายได้จากโปรโตคอลโดยตรงให้ผู้ใช้ (*สเตเบิลคอยน์แบบสร้างรายได้*) และโมเดล CDP ที่ใช้สินทรัพย์ค้ำประกันในระบบออนเชน
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ sUSDe ของเอเธนา ซึ่งเป็น *สเตเบิลคอยน์ที่ผสานกลยุทธ์ delta-neutral hedging ในตลาด Perpetual Futures* สร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม Funding และมีกลไกเพิ่มผลตอบแทนอัตโนมัติ ปัจจุบัน sUSDe มีมูลค่าตลาดสูงถึง 3.2 พันล้านดอลลาร์ อยู่ในอันดับหนึ่งของอุตสาหกรรม หนึ่งในความโดดเด่นของ sUSDe คือสามารถสร้างเหรียญจากเหรียญ USDT หรือ ETH และสเตกเพื่อนำไปแลกเปลี่ยนเป็น sUSDe ได้ ระบบนี้ไม่พึ่งพาการสำรองแบบรวมศูนย์ เป็นความพยายามใหม่ในการรักษาเสถียรภาพของราคา
อีกหนึ่งโครงการที่จับตามองคือการรีแบรนด์ของเมกเกอร์ดาว(MakerDAO) ภายใต้ชื่อ ‘สกาย’ ที่เปิดตัว USDS และ sUSDS ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่สเตกได้ sUSDS ได้รับรายได้จากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาล, ดอกเบี้ยเงินกู้, และการจัดการหนี้เสีย แม้จะครองอันดับหนึ่งในครึ่งแรกของปี 2025 แต่ปัจจุบันถูก sUSDe แซงไป สะท้อนแนวโน้มการแข่งขันที่เข้มข้น สกายตั้งเป้ายกระดับ USDS เป็นมาตรฐานการออมระดับโลก โดยมีเป้าหมาย Asset Under Management ถึง 8 พันล้านดอลลาร์
ในขณะเดียวกัน *สเตเบิลคอยน์แบบกระจายศูนย์* ที่อิงกับโมเดล CDP ก็แสดงศักยภาพเช่นกัน GHO, DOLA และ crvUSD เป็นหนึ่งในสิบโปรโตคอลชั้นนำที่มียอดรวมมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นถึง 60% แตะ 932 ล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 โดยไม่ต้องพึ่งผู้ดูแลสินทรัพย์ รวมถึงไม่มีความเสี่ยงจากการใช้สินทรัพย์ค้ำประกันนอกเครือข่าย สามารถรักษาการ Peg ได้ด้วยกลไกอัตโนมัติและโครงสร้างการกำกับดูแลแบบออนเชน
อีกหนึ่งกระแสที่กำลังเติบโตคือ *โปรโตคอลลูกผสมแบบให้ผลตอบแทน* เช่น NUSD ของนิวทรัล ซึ่งรวมกลยุทธ์ delta-neutral กับการเก็งกำไรจาก OTC เพื่อสร้างรายได้ เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงแนวทางการลงทุนแบบเฮดจ์ฟันด์ดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมี fxUSD, BOLD และ USDh1 ซึ่งออกแบบมาให้มีทั้ง *โมเดลรายได้* และ *โครงสร้างการรักษาเสถียรภาพของราคา* ที่แตกต่างกัน
เมซซารี่ รีเสิร์ชยังชี้ให้เห็นการพัฒนาในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การรวมยูสเคสของสเตเบิลคอยน์เข้ากับเลเยอร์สภาพคล่องอย่าง ‘เฟเรนา’ ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการกระจายบนเชนโซลานา รวมถึงโปรเจกต์บล็อกเชนใหม่อย่าง ‘พลาสมา’ และ ‘สเตเบิล’ ที่นำร่องให้ผู้ใช้สามารถใช้เหรียญอย่าง USDT หรือ BTC ในการจ่ายค่าธรรมเนียมธุรกรรม ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ในการออกแบบสเตเบิลคอยน์ให้มีบทบาทแบบ all-in-one
*ความคิดเห็น*: สเตเบิลคอยน์กำลังเปลี่ยนบทบาท จากเครื่องมือรักษาราคาให้คงที่ สู่การเป็นเครื่องมือทางการเงินหลากหลายรูปแบบ ครอบคลุมทั้งด้านรายได้, สินทรัพย์ค้ำประกัน, ยูทิลิตี้สำหรับการชำระเงิน และสถาปัตยกรรมพื้นฐานของโลกดิจิทัล
เมซซารี่ รีเสิร์ช สรุปว่าแนวโน้มดังกล่าวจะยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อ *สเตเบิลคอยน์เริ่มผสานเทคโนโลยีใหม่* อย่างปัญญาประดิษฐ์, ระบบพิสูจน์ตัวตนออนเชน, และโครงสร้างปกป้องความเป็นส่วนตัว ทั้งหมดนี้กำลังหล่อหลอมให้ *สเตเบิลคอยน์กลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่* อย่างแท้จริง
ความคิดเห็น 0