‘บิตคอยน์ไฟน์(BitcoinFi)’ หรือระบบการเงินแบบกระจายศูนย์บนบิตคอยน์(BTC) แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่น่าจับตามองในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ โดยข้อมูลจากบริษัทโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนมาเอสโตร(Maestro) ชี้ให้เห็นว่า แพลตฟอร์มการเงินบนบิตคอยน์กำลังเปลี่ยนผ่านจากการเป็นเพียง ‘แหล่งเก็บมูลค่า’ ไปสู่การเป็น ‘ศูนย์กลางทางการเงินบนเชน’
มาเอสโตรระบุในรายงานล่าสุดว่า บิตคอยน์กำลังกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างการเงินแบบกระจายศูนย์(DeFi) และการเงินแบบดั้งเดิม(TradFi) โดยมาร์วิน แบร์แตง(Marvin Bertin) ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง กล่าวว่า ขณะนี้ระบบนิเวศของบิตคอยน์ได้มีโครงสร้างพื้นฐานหลัก เช่น แพลตฟอร์มเทรด การให้กู้ และสเตเบิลคอยน์ พร้อมใช้งานเป็นครั้งแรก “นั่นคือหลักฐานว่าบิตคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์สำรองแบบนิ่งอีกต่อไป แต่กำลังพัฒนาเป็นแพลตฟอร์มการเงินแบบไดนามิก” เขากล่าว
หนึ่งในตัวอย่างสำคัญของ ‘บิตคอยน์ไฟน์’ คือการสเตกิง โดยขณะนี้จำนวนบิตคอยน์ที่ถูกนำมาฝากรวมแล้วกว่า 68,500 เหรียญ คิดมูลค่าประมาณ 7.39 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 1.02 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้ ราว 3.32 พันล้านดอลลาร์ถูกนำมา ‘รีสเตก’ อีกครั้ง แพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดคือบาบิลอน(Babylon) ซึ่งถือครองประมาณ 4.79 พันล้านดอลลาร์ ส่วนโครงการอื่นอย่างโซลฟ์(Solv), ลอมบาร์ด(Lombard) และคอร์ดีเอโอ(CoreDAO) ก็กำลังขยายระบบนิเวศผ่านการใช้เหรียญ LST และโมเดลดูอัลสเตกิง
ด้านการให้กู้บนบิตคอยน์ก็มีความเคลื่อนไหวคึกคัก โดยลิควิดิอุม(Liquidium) บรรลุปริมาณธุรกรรมมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6.95 หมื่นล้านบาท) นอกจากนี้ คอร์ดีเอโอยังมีสินทรัพย์จากการดูอัลสเตกิงคิดมูลค่าราว 615 ล้านดอลลาร์ พร้อมนำเสนอผลตอบแทนแบบบล็อกรีวอร์ดและค่าธรรมเนียมร่วม
เลเยอร์การขยายระบบ เช่น เลเยอร์ 2 และไซด์เชน ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีสินทรัพย์รวมบนระบบเหล่านี้กว่า 5.52 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7.6 แสนล้านบาท โดยเฉพาะสแต็กส์(Stacks) ที่มีการเติบโตอย่างชัดเจนในไตรมาสที่ผ่านมา การเปิดตัวโรลอัปและเลเยอร์การประมวลผลในระบบบิตคอยน์ยิ่งช่วยเร่งการใช้งานด้านโปรแกรมมิ่ง
เมตาโปรโตคอลบนบิตคอยน์กลับมาได้รับความสนใจ โดยออร์ดินัล(Ordinals), รูนส์(Runes) และโทเคน BRC-20 คิดเป็นสัดส่วนกว่า 40.6% ของธุรกรรมบิตคอยน์ทั้งหมดในครึ่งปีแรก โดยปริมาณการซื้อขายของ BRC-20 อยู่ที่ประมาณ 128 ล้านดอลลาร์ ส่วนออร์ดินัลมีการออกโทเคนกว่า 80 ล้านรายการ และก่อให้เกิดค่าธรรมเนียมรวมกว่า 6,940 BTC หรือราว 681 ล้านบาท
สำหรับตลาดสเตเบิลคอยน์ มีสินทรัพย์ถูกฝากไว้ประมาณ 860 ล้านดอลลาร์ โดยส่วนใหญ่เป็นสเตเบิลคอยน์แบบมีหลักประกัน(CDP) บนเลเยอร์ 2 โดย USDa ของอวาลอน(Avalon) มีสภาพคล่องราว 559 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนสูง อย่างของเฮอร์เมติกา(Hermetica) ที่เสนอดอกเบี้ยสูงถึง 25% ต่อปี ก็กำลังได้รับความนิยม
หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดคือการลงทุนจากเวนเจอร์แคปปิตอล ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 โปรเจ็กต์ในกลุ่ม ‘บิตคอยน์ไฟน์’ ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกว่า 175 ล้านดอลลาร์ จากทั้งหมด 32 ดีล โดยกว่า 20 รายการเน้นที่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริง เช่น แอปพลิเคชัน DeFi หรือบริการดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล ความสนใจถูกเบนจากโครงสร้างพื้นฐานไปสู่การตอบโจทย์ผู้ใช้งาน
กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ ได้แก่ แพนเทอราแคปปิตอล, ฟาวน์เดอร์สฟันด์, และสแตนดาร์ดคริปโต การเข้ามาของพวกเขาถือเป็นสัญญาณว่า ‘บิตคอยน์ไฟน์’ ไม่ใช่แค่พื้นที่ทดลองอีกต่อไป *ความคิดเห็น* การเคลื่อนไหวเชิงรุกทั้งจากการเงินดั้งเดิมและกลุ่มคริปโตดั้งเดิม กำลังเปลี่ยนบิตคอยน์ให้เป็นเวทีทางการเงินอย่างเต็มรูปแบบ
สุดท้ายแล้ว บิตคอยน์ไฟน์กำลังรักษาความเป็น ‘แหล่งเก็บมูลค่า’ ไว้ พร้อมเพิ่มความสามารถด้านโปรแกรมมิงและการทำกำไรเข้ามา ชี้ให้เห็นว่าอนาคตของบิตคอยน์จะไม่ได้หยุดแค่การเป็น ‘ทองคำดิจิทัล’ อีกต่อไป
ความคิดเห็น 0