ในขณะที่ระบบการเงินแบบดั้งเดิมเริ่มเผชิญแรงสั่นสะเทือนจากการเติบโตของคริปโตเคอร์เรนซีและสินทรัพย์ดิจิทัล โลกกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการเงินที่มีการกระจายอำนาจ (DeFi) และการแปลงสินทรัพย์จริงเป็นโทเคนอย่างรวดเร็ว การประเมินจากหลายฝ่ายคาดว่า ตลาดโทเคนอสังหาริมทรัพย์หรือ ‘การแปลงสินทรัพย์จริงเป็นโทเคน’ อาจมีมูลค่าสูงถึง 20 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 ท่ามกลางกระแสนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเร่งผลักดันร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ ‘สเตเบิลคอยน์’ และโครงสร้างของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการสร้างระบบกำกับดูแลที่ทันสมัยในฝั่งสหรัฐฯ
ในระดับโลก รัฐบาลและนักลงทุนสถาบันกำลังเดินหน้าออกกฎหมายและพัฒนาเทคโนโลยีด้านสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ภาคอุตสาหกรรมประกันภัย โดยเฉพาะกลุ่มประกันสำหรับกิจการ ยังล้าหลังและไม่ตอบโจทย์ต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะ ‘ประกันความรับผิดชอบของผู้บริหาร’ ถือว่าขาดการออกแบบเฉพาะสำหรับบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีแบบกระจายอำนาจ
บริษัททุกขนาดล้วนต้องการประกันคุ้มครองผู้บริหารหรือ ‘ประกันความรับผิดของกรรมการและเจ้าหน้าที่’ (D&O) เพื่อเสริมความมั่นใจแก่ผู้ถือหุ้นและดึงดูดเงินทุนจากภายนอก แต่ในโลกของคริปโต บริษัทจำนวนไม่น้อยยังเข้าไม่ถึง ‘แผนประกันที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ’ โดยสิ้นเชิง
ปัญหาสำคัญคือ ความเสี่ยงของเทคโนโลยีใหม่ ไม่ว่าจะเป็นบล็อกเชน, การเงินแบบกระจายอำนาจ, โทเคน หรือสกุลเงินดิจิทัล ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับบริษัทประกันแบบดั้งเดิม หลายบริษัทจึงยังอยู่ในโหมดรอดู หรือเสนอกรมธรรม์ที่มี ‘ขอบเขตความคุ้มครองไม่ชัดเจน’ เท่านั้น ผลที่ตามมาคือ ในบางกรณี กรมธรรม์ที่จัดทำขึ้นกลับเต็มไปด้วย ‘ข้อยกเว้นแฝง’ หรือไม่สามารถจ่ายเคลมได้จริงเมื่อเกิดเหตุขึ้น
กรณีที่บริษัทด้านคริปโตวางแผนควบรวมกิจการกับบริษัทจดทะเบียน (De-SPAC) หรือเตรียมเสนอขายหุ้น IPO ความต้องการ ‘กรมธรรม์แบบเฉพาะทาง’ มีสูง แต่กลับหาได้ยาก ในขณะที่ประกันภัยด้านเทคโนโลยีก็แทบไม่มีทางเลือกสำหรับความต้องการที่ซับซ้อน เช่น การป้องกันทรัพย์สินทางปัญญา, ข้อมูลภายใน, โทเคน หรือกลไกเฉพาะของโปรโตคอล อีกทั้งแม้แต่ ‘ประกันไซเบอร์’ ซึ่งควรคุ้มครองการโจรกรรมดิจิทัลหรือแรนซัมแวร์ระดับประเทศ ก็ยังไม่สามารถตอบสนองได้อย่างครอบคลุม
ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเห็นตรงกันว่า ภาคอุตสาหกรรมประกันภัยจำเป็นต้อง ‘รีดีไซน์ตั้งแต่โครงสร้าง’ ให้เหมาะสมกับโลกดิจิทัล โดยเฉพาะการระบุความคุ้มครองแบบตรงไปตรงมา ลดเงื่อนไขและข้อยกเว้น แถมยังต้องเพิ่มเติม ‘เงื่อนไขสำคัญกว่า 30 ประการ’ เช่น การให้นิยามใหม่ต่อสินทรัพย์ที่คุ้มครอง ซึ่งรวมถึง สเตเบิลคอยน์, คริปโตเคอร์เรนซี, สินทรัพย์อนุพันธ์, คีย์ส่วนตัว และหน่วยมูลค่าที่แปลงแทนได้
อีกหนึ่งความเสี่ยงที่ไม่ควรละเลยคือ ‘ความไม่แน่นอนด้านกฎหมาย’ เพราะแนวนโยบายที่รัฐบาลหนึ่งสนับสนุน อาจกลายเป็นข้อกล่าวหาทางกฎหมายในยุคถัดไป ยกตัวอย่างเช่น หลายกรณีที่ผ่านมาในสหรัฐฯ ที่แนวปฏิบัติซึ่งเคยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(SEC) และคณะกรรมาธิการการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า(CFTC) กลับนำไปสู่คดีฟ้องร้องมูลค่านับหมื่นล้านดอลลาร์ในเวลาต่อมา ดังนั้น ‘โครงสร้างประกันภัยที่มีความคงเส้นคงวาด้านนโยบายและป้องกันทางกฏหมายได้’ จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อเปรียบเทียบกับภาคอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่สามารถซื้อความคุ้มครองในระดับหลายพันล้านดอลลาร์ได้ บริษัทในโลกคริปโตยังอยู่ในระดับ ‘ความคุ้มครองเพียงไม่กี่ร้อยล้านบาท’ เท่านั้น แต่หากเทคโนโลยีคริปโตกลายเป็นระบบหลักอย่างแท้จริง ‘ขีดความสามารถของบริษัทประกันก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วย’ การได้มาซึ่งกรมธรรม์ระดับพันล้านบาท เช่น ประกันกรรมการ, ประกันวิชาชีพ, ประกันเทคโนโลยี และประกันไซเบอร์หรืออาชญากรรม อาจกลายเป็น ‘โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ’ เพื่อให้ธุรกิจคริปโตเติบโตอย่างมั่นคง
แม้จะไม่ใช่สิ่งที่มองเห็นผลในทันที แต่ประกันสร้างความแตกต่างได้จริงเมื่อเกิดเหตุการณ์ การออกแบบ ‘ระบบประกันที่ปรับแต่งล่วงหน้า’ ให้ตรงกับแต่ละบริษัท จึงเป็นหัวใจของการป้องกันความเสี่ยงในยุคของคริปโตอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น 0