โทเคนของโครงการเชนลิงก์(LINK) กำลังแสดงให้เห็นถึง *การฟื้นตัวอย่างร้อนแรง* ท่ามกลางการฟื้นตัวของตลาดคริปโตในวงกว้าง โดยตลอดเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา LINK เคลื่อนไหวในแนวโน้มขาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 7 เดือน ท่ามกลางความคาดหวังว่าโทเคนจะสามารถทะลุระดับสำคัญที่ 30 ดอลลาร์ หรือราว 41,700 บาทได้ ซึ่งเป็นทั้งแนวต้านหลักและจุดพลิกทางจิตวิทยา ส่งผลให้ *นักลงทุนเริ่มมองถึงโอกาสเปิดตลาดกระทิงในระยะกลางถึงยาว*
อ้างอิงจากข้อมูลบนเชนของบริษัทวิจัยซานทิเมนต์(Santiment) เมื่อวันที่ 24 พบว่ามีกระเป๋าเงินที่เคลื่อนไหวโทเคน LINK มากถึง 9,813 กระเป๋า ซึ่งถือเป็นจำนวนสูงสุดตั้งแต่ต้นปี 2025 ส่วนวันที่ 25 มีจำนวนกระเป๋าเงินใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมากถึง 9,625 ใบ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จุดนี้สะท้อนให้เห็นถึง *การขยายตัวของกิจกรรมในระบบนิเวศของเชนลิงก์* อย่างชัดเจน โดยไม่ใช่แค่การเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตภายในของระบบ
นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่ากิจกรรมของเครือข่ายเช่นนี้เป็นปัจจัยหนุนหลักในการไต่ระดับราคาของ LINK และหากสามารถทะลุระดับ 30 ดอลลาร์ได้ ก็อาจเกิด ‘แรลลี่ขาขึ้น’ ที่ทรงพลังขึ้นอีกเท่าตัว เทรดเดอร์รายหนึ่งกล่าวว่า LINK กำลังเข้าใกล้การทะลุแนวต้านระยะยาวซึ่งก่อตัวมาแล้วกว่า 4 ปี หากทะลุผ่านไปได้ อาจเกิด *รูปแบบพาราโบลา* คล้ายกับตลาดกระทิงของบิตคอยน์(BTC) ในอดีต ซึ่งอาจผลักดันราคาได้สูงถึง 200 ดอลลาร์ หรือราว 278,000 บาท
หนึ่งในปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่เติมเชื้อไฟให้กับแนวโน้มขาขึ้นคือโครงการใหม่ของเชนลิงก์ที่ชื่อว่า ‘Chainlink Reserve’ ซึ่งเปิดเผยต่อสาธารณะเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยเป็นโครงสร้างบนเชนที่ใช้รายได้จากค่าธรรมเนียมในภาคบริการและการใช้งานในระดับสถาบันมาสะสมโทเคน LINK อย่างต่อเนื่อง
ไมเคิล ฟาน เดอ ป็อป(Michael van de Poppe) ผู้ก่อตั้ง MN เทรดดิ้ง แคปิทัล(MN Trading Capital) กล่าวในความคิดเห็นว่า “ภาวะขาลงระยะยาวของ LINK ได้สิ้นสุดลงแล้ว และตอนนี้เข้าสู่ยุคของแนวโน้มขาขึ้นแบบชัดเจน” เขาเสริมว่า “LINK คือหนึ่งในสินทรัพย์ที่น่าจับตามากที่สุดในตลาดเวลานี้อย่างไม่ต้องสงสัย”
Chainlink Reserve ยังได้รับการจับตามองว่าเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่ช่วยดึงแรงซื้ออย่างต่อเนื่องในระยะยาว ทั้งยังช่วยจัดสมดุลระหว่างความต้องการจากสถาบันและความต้องการใช้โทเคนในระบบนิเวศ โดยรวมแล้ว LINK กำลังกลายเป็นเหรียญที่ ‘ตอบโจทย์ทั้งสองด้าน’ อย่างแท้จริง ทั้งในด้านข้อมูลบนเชนและการใช้งานจริง ซึ่งทำให้ตลาดเริ่มเห็นถึง *การเปลี่ยนจากการฟื้นตัวระยะสั้นสู่การเติบโตเชิงโครงสร้าง* ที่อาจดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง
ความคิดเห็น 0