ไต้หวันมีคดีฟอกเงินผ่านคริปโตครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยอัยการท้องถิ่นได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหารวม 14 คน ซึ่งมีผู้เสียหายมากกว่า 1,500 ราย และตรวจพบว่ามี ‘เงินผิดกฎหมายกว่า 1,000 ล้านบาท’ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมในคดีนี้
เมื่อวันที่ 24 สำนักอัยการเขตสือหลินในกรุงไทเปได้เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาถูกฟ้องในข้อหา ‘ฉ้อโกง’, ‘ฟอกเงิน’ และการกระทำผิดใน ‘องค์กรอาชญากรรม’ พร้อมยื่นขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินเป็นที่ดินมูลค่า 39.8 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 553 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นรายได้จากอาชญากรรมหนึ่งในคดีนี้ ในบรรดาทรัพย์สินที่ถูกอายัด ยังมี ‘เทเธอร์(USDT)’ มูลค่ากว่า 640,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 8.9 ล้านบาท) รวมถึง ‘บิตคอยน์(BTC)’ และ ‘โทรอน(TRX)’ ที่ยังไม่สามารถระบุปริมาณแน่ชัดได้ในขณะนี้
อัยการยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า มีการตรวจยึดเงินสดรวม 1.8 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 25 ล้านบาท), รถยนต์หรูนำเข้าสองคัน และเงินฝากในบัญชีธนาคารกว่า 3.13 ล้านดอลลาร์ (ราว 44 ล้านบาท) โดยกำลังเร่งติดตามทรัพย์สินที่เหลือเพื่อนำกลับคืนต่อไป
การฟอกเงินในครั้งนี้อาศัยวิธี ‘หลอกลวงผ่านอาชญากรรมขนาดใหญ่’ เพื่อรวบรวมเงินสด ก่อนแปลงเป็นเงินตราต่างประเทศแล้วโอนไปต่างประเทศ จากนั้นนำเงินเหล่านั้นมาซื้อคริปโตในรูปแบบ ‘เทเธอร์(USDT)’ ผ่านแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตภายในประเทศอย่าง BiXiang Technology โดยอัยการยังแนบแผนภาพการเคลื่อนไหวของเงินเพื่อนำเสนอโครงสร้างของขบวนการฟอกเงินในคำฟ้องด้วย
ทางการไต้หวันกล่าวว่า อาชญากรรมข้ามชาติที่แสวงหาผลประโยชน์จาก ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ มีแนวโน้มจะสลับซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ และเน้นย้ำความ ‘จำเป็นในการเข้มงวดต่อการตรวจสอบการฟอกเงินด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล’ โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ได้สร้างความกังวลถึงความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงกับการจัดหาเงินทุนให้การก่อการร้ายหรือเครือข่ายผิดกฎหมายในต่างประเทศ ความคิดเห็นของประชาชนก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นต่อการควบคุมคริปโตภายในประเทศ
ความคิดเห็น 0