ตลาดการเงินทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในปี 2026 จากการที่หนี้สินมูลค่ากว่า 4,587 ล้านล้านวอน หรือประมาณ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จะครบกำหนดชำระ นี่เป็นสัญญาณถึง “กำแพงรีไฟแนนซ์” ครั้งใหญ่ของประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งอาจดูดซับสภาพคล่องในระบบและส่งผลลบต่อสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงบิตคอยน์(BTC) หากอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูง
ตามรายงานของสมาคมการเงินระหว่างประเทศ(IIF) ณ ไตรมาสแรกปี 2024 มูลค่าหนี้ทั่วโลกแตะ 315 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 437.85 ล้านล้านวอน และจากอายุเฉลี่ยของหนี้ที่ราว 7 ปี ทุกปีจะมีการรีไฟแนนซ์หนี้ประมาณ 50 ล้านล้านดอลลาร์ โดยในปี 2026 การครบกำหนดหนี้รายปีของประเทศพัฒนาแล้วจะเพิ่มขึ้นเกือบ 20% แตะ 33 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบ 3 เท่าของการใช้จ่ายเงินทุนประจำปีของประเทศเหล่านั้น
สิ่งที่น่าวิตกคือ การรีไฟแนนซ์หนี้จำนวนมหาศาลนี้จะต้องเกิดขึ้นในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง รัฐบาลที่มีข้อจำกัดทางการคลังหรือบริษัทที่มีอันดับความน่าเชื่อต่ำอาจได้รับผลกระทบรุนแรง ส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดลดลงและเป็นปัจจัยฉุดการลงทุนใหม่ในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น พันธบัตรความเสี่ยงสูง หนี้ของประเทศกำลังพัฒนา และ ‘คริปโตเคอร์เรนซี’ อย่างบิตคอยน์(BTC)
บิตคอยน์เองก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากวัฏจักรของตลาดการเงินดั้งเดิมได้ ปัจจุบันมีการขุดไปแล้วราว 95% และบริษัทชั้นนำถือครองไว้รวมกันราว 1 ล้าน BTC สถานะของบิตคอยน์จึงกำลังกลายเป็นสินทรัพย์ที่อ่อนไหวต่อ ‘กระแสสภาพคล่องโลก’ และ ‘แนวนโยบายด้านกฎระเบียบ’ อย่างมีนัยสำคัญ กลุ่มนักวิเคราะห์เริ่มตั้งข้อสังเกตว่า ราคาไม่สามารถอิงเพียงแค่รอบ ‘การลดรางวัลคริปโต’ ทุก 4 ปีได้อีกต่อไป
ปี 2026 ยังเป็นช่วงเวลาที่หลายฝ่ายประเมินว่า อาจตรงกับ ‘ภาวะตลาดหมี’ ในรอบราคาของบิตคอยน์ หากไม่มีการอัดฉีดสภาพคล่องขนานใหญ่ทั่วโลก ความตึงตัวด้านสภาพคล่องในช่วงดังกล่าวอาจกดดันราคาให้ปรับฐานลงอย่างชัดเจน รายงานของ Financial Times ชี้ว่า เพื่อให้ระบบการเงินยังคงเสถียร ควรมีการเติบโตของสภาพคล่องที่ระดับ 8-10% ต่อปีจึงจะเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม ยังมีสัญญาณบวกในระยะสั้น เมื่อถึงกลางปี 2025 ปริมาณเงินในระบบ(M2) ของธนาคารกลาง 4 แห่งใหญ่ ได้แก่ สหรัฐ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ราว 95 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ดัชนีสภาพคล่องขยายของนักเศรษฐศาสตร์ไมเคิล ฮาวเวลล์ ซึ่งครอบคลุมเงินสดและหนี้ระยะสั้นอยู่ที่ 182.8 ล้านล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ปีเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าสภาพคล่องโลกอาจแตะจุดสูงสุดในปลายปี 2025 ก่อนกลับลงในปีถัดไป
ในอดีต เมื่อสภาพคล่องถึงจุดสูงสุดแล้ว มักตามมาด้วยความผันผวนในตลาดและแรงกดดันด้านการจัดการสภาพคล่อง โดยเฉพาะเมื่อการหาแหล่งทุนเริ่มยากขึ้น ตามด้วยการขายสินทรัพย์เสี่ยงและการเร่งตัวของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น
‘ความคิดเห็น’: ความเข้าใจวัฏจักรของสภาพคล่องกำลังกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในการลงทุนในคริปโต บิตคอยน์ไม่ได้ถูกมองว่าเป็น ‘สินทรัพย์ทางเลือก’ ที่แยกขาดจากโลกการเงินดั้งเดิมอีกต่อไป แต่เป็นสินทรัพย์ที่ ‘ตอบสนองต่อสภาพคล่อง’ ได้อย่างชัดเจน ซึ่งนักลงทุนควรให้ความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม
ความคิดเห็น 0