หลังจากเหตุการณ์แฮ็กครั้งใหญ่ของ ‘กลุ่มลาซารัส’ ความเป็นไปได้ในการ ‘ย้อนกลับ’ บล็อกเชนอีเธอเรียม(ETH) กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึง โดย เบน โจว ซีอีโอของ ‘ไบบิท’(Bybit) เปิดเผยว่ากำลังพิจารณาทุกทางเลือกในการกู้คืนเงินที่ถูกขโมย และกำลังหารือแนวทางแก้ปัญหากับ ‘มูลนิธิอีเธอเรียม’
เมื่อวันที่ 22 โจวถูกถามในการสนทนา ‘X Space’ ว่าเขาสนับสนุนแนวคิด ‘ย้อนกลับ’ บล็อกเชนไปยังช่วงเวลาก่อนถูกแฮ็กหรือไม่ เขาตอบว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนใดคนหนึ่งสามารถตัดสินใจได้” และเสริมว่าควรเป็นการตัดสินใจของ ‘ชุมชน’ ผ่านกระบวนการโหวตตาม ‘หลักการของบล็อกเชน’
ทั้งนี้ อีเธอเรียมเคยย้อนกลับระบบด้วย ‘ฮาร์ดฟอร์ก’ หลังเหตุการณ์แฮ็ก ‘DAO’ ในปี 2016 ซึ่งทำให้มีการขโมย ETH มูลค่ากว่า 60 ล้านดอลลาร์ และส่งผลให้เกิดการแยกตัวเป็น ‘อีเธอเรียม(ETH)’ และ ‘อีเธอเรียมคลาสสิก(ETC)’
ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน ‘Lookonchain’ ระบุว่าปัจจุบัน กลุ่มลาซารัส ถือครอง ETH จำนวน 489,395 เหรียญ หรือมูลค่าราว 1.3 พันล้านดอลลาร์ และพยายามซ่อนร่องรอยการทำธุรกรรมผ่านหลายกระเป๋าเงิน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบติดตามได้ยาก
ในส่วนของมาตรการรับมือ ไบบิทประกาศโครงการ ‘บั๊ก บาวน์ตี้’ มูลค่าสูงถึง 140 ล้านดอลลาร์ เพื่อตามล่าตัวผู้ก่อเหตุ ขณะที่ เปาโล อาร์ดอยโน ซีอีโอของ ‘เทเธอร์(USDT)’ ได้สั่ง ‘อายัด’ เหรียญ USDT จำนวน 181,000 เหรียญที่เกี่ยวข้องกับการแฮ็ก และ เกรซี เฉิน ซีอีโอของ ‘บิทเก็ต’(Bitget) ยืนยันว่าจะ ‘บล็อก’ การทำธุรกรรมที่เชื่อมโยงกับกลุ่มลาซารัส
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสะท้อนถึงปัญหาความปลอดภัยในอุตสาหกรรมคริปโต แต่ยังทำให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับ ‘บทบาทของบล็อกเชน’ และ ‘อำนาจของชุมชน’ ในกรณีฉุกเฉิน การตัดสินใจครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอนาคตของอีเธอเรียม
ความคิดเห็น 0