ความเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันของนักลงทุนประเภท ‘ถือยาว’ และ ‘ถือสั้น’ กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของตลาดบิตคอยน์(BTC) ในระยะนี้ โดยเมื่อวันที่ 24 ตามรายงานของบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลออนเชนอย่างคริปโตควอนท์(CryptoQuant) ระบุว่าพฤติกรรมที่ตรงข้ามกันของกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ หรือ ‘วาฬ’ จากทั้งสองฝั่ง เป็นตัวกำหนดความผันผวนของราคาในตลาดขณะนี้
คาร์เมโล อเลมาน(Carmelo Alemán) นักวิเคราะห์จากคริปโตควอนท์เปิดเผยว่า กลุ่มวาฬที่ถือครองระยะยาว (LTH) ซึ่งหมายถึงที่อยู่กระเป๋าที่ถือบิตคอยน์ไว้นานกว่า 155 วัน มีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 41,887 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5.82 ล้านบาท และถือครองบิตคอยน์รวมประมาณ 3.72 ล้านเหรียญ กลุ่มนี้มีลักษณะเด่นคือยังคงสะสมเหรียญอย่างเงียบ ๆ แม้ราคาจะปรับตัวลงก็ตาม โดย ‘คำ’ พฤติกรรมของพวกเขามีส่วนช่วยสร้าง ‘เสถียรภาพ’ ให้กับตลาด
ในทางตรงกันข้าม กลุ่มวาฬที่ถือในระยะสั้น (STH) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสถาบันหรือผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาด มีต้นทุนเฉลี่ยสูงถึง 111,299 ดอลลาร์ หรือประมาณ 15.62 ล้านบาท และถือครองอยู่ราว 1.07 ล้านเหรียญ โดยมักจะเคลื่อนไหวรวดเร็ว กล่าวคือ เมื่อราคาเกิดการปรับฐาน พวกเขาจะรีบ ‘ปรับพอร์ต’ ผ่านการซื้อขายบ่อยครั้ง ซึ่ง “ความคิดเห็น” จากอเลมานระบุว่า พฤติกรรมเช่นนี้สร้างความผันผวนระยะสั้น ทำให้ราคาพุ่งขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว
คริปโตควอนท์ยังได้ชี้ให้เห็นด้วยว่า ปริมาณการซื้อจากฝั่งผู้รับ (Taker Buy Volume) ที่เกิดขึ้นในตลาดซื้อขายหลักอย่างไบแนนซ์ เริ่มลดลงในช่วงหลัง สะท้อนถึง ‘คำ’ อุปสงค์ในตลาดที่ซาไปบ้าง และอาจเพิ่มแรงผันผวนในระยะสั้น ปัจจัยนี้โดยปกติแล้วจะถูกใช้เป็นตัวชี้นำว่าสภาวะตลาดกระทิงจะยืนระยะได้อีกนานแค่ไหน
อย่างไรก็ดี เครือข่ายของบิตคอยน์เองยังคงแสดงสัญญาณเชิงบวก โดยในสิ้นเดือนกันยายน อัตราแฮชเรตของเครือข่ายได้แตะจุดสูงสุดใหม่ที่ 1.441 เซตตะแฮช ซึ่งเป็นสัญญาณว่า ‘ความเชื่อมั่น’ ของนักขุดยังคงแข็งแกร่ง แฮชเรตที่เพิ่มขึ้นมักถูกมองว่าเป็นปัจจัยส่งเสริมด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพของเครือข่ายในระยะยาว
ประเด็นที่นักวิเคราะห์จำนวนมากกำลังจับตามอง คือ ฝ่ายใดระหว่างกลุ่ม LTH และ STH จะสามารถควบคุมตลาดได้ในช่วงต่อไป โดย ‘คำ’ ภาวะที่ LTH ซื้อสะสมในระดับราคาต่ำมีส่วนสร้างฐานที่มั่นคง ขณะที่ STH ที่ถือเหรียญแพงและไวต่อการเคลื่อนไหวราคา อาจทำให้ตลาดเผชิญการขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน ราคาของบิตคอยน์กำลังทดสอบแนวต้านบริเวณ 115,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 15.98 ล้านบาท โดยตลาดคาดหวังว่าราคาจะฝ่าแนวดังกล่าวได้ และเดินหน้าต่อในการขึ้นรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังมี Gap ที่เปิดค้างอยู่ในตลาดฟิวเจอร์ส CME รอบระดับ 110,000 ดอลลาร์ หรือราว 15.29 ล้านบาท ซึ่งอาจเป็นปัจจัย ‘คำ’ บีบให้ตลาดต้องย่อตัวลงมาปิดช่องว่างดังกล่าวในระยะสั้น
สรุปได้ว่า ทิศทางในช่วงถัดไปของบิตคอยน์จะขึ้นอยู่กับทั้ง ‘แนวโน้มการฟื้นตัวของอุปสงค์’ และ ‘การชิงความได้เปรียบ’ ระหว่างกลุ่มนักลงทุนถือยาวและถือสั้น ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าใครคือผู้กำหนดจังหวะหลักของตลาดคริปโตในช่วงนี้
ความคิดเห็น 0