สเตเบิลคอยน์อาจกลายเป็นปัจจัยเร่งให้ธนาคารต้องขยับปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากในอนาคต ตามการวิเคราะห์ล่าสุดของ แพทริก คอลลิสัน(Patrick Collison) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทสตาร์ทอัปด้านการชำระเงินรายใหญ่ระดับโลกอย่าง สไตรป์(Stripe) โดยเขาระบุผ่านโซเชียลมีเดียว่า การเติบโตของ *สเตเบิลคอยน์* จะบีบให้ธนาคารต้องแข่งขันโดยเสนอ *อัตราดอกเบี้ย* ที่คุ้มค่ากับลูกค้ามากยิ่งขึ้น
คอลลิสันชี้ว่า ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยในสหรัฐและยุโรปยังต่ำกว่า 1% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่น่าพึงพอใจสำหรับผู้ฝากเงิน ในขณะที่ผลิตภัณฑ์การเงินที่ใช้ *สเตเบิลคอยน์* หลายรายการเริ่มให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนตามตลาด เขากล่าวว่า “ผู้ฝากเงินสมควรได้รับผลตอบแทนที่สะท้อนความเป็นจริงของตลาด” และเสริมว่า แม้กลุ่มล็อบบี้บางรายพยายามจำกัดผลตอบแทนจากการฝากเงินผ่านสเตเบิลคอยน์ แต่ทิศทางนี้ “เข้าข่าย *ทำร้ายผู้บริโภค* อย่างรุนแรง” และมีแนวโน้มล้มเหลวในที่สุด
*สเตเบิลคอยน์* คือคริปโตเคอร์เรนซีที่ตรึงมูลค่ากับเงินสกุลหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐหรือยูโรแบบ 1:1 โดยปัจจุบันพัฒนากลายมาเป็นเครื่องมือสร้างรายได้ผ่านการฝากเงิน ตัวอย่างเช่น ในระบบการเงินแบบไร้ตัวกลาง (DeFi) นักลงทุนสามารถรับผลตอบแทนในอัตรา 5-10% ต่อปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขันที่สูงกว่าธนาคารแบบดั้งเดิมที่มีดอกเบี้ยต่ำ
คอลลิสันเสริมว่า หากธนาคารยังคงยึดแนวทางเสนอดอกเบี้ยต่ำในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยตลาดเกือบเป็นศูนย์ ย่อมไม่อาจต้านทานกระแสการแข่งขันจาก *สเตเบิลคอยน์* ได้ และย้ำว่า “การแพร่หลายของสเตเบิลคอยน์จะเป็น *แรงผลักดันสำคัญต่อการแข่งขันในตลาดเงินฝาก*”
ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง มาร์โก ลี จากบริษัทด้านการลงทุน พันเธร่า แคปิตอล(Pantera Capital) เห็นพ้องกับคอลลิสัน โดยระบุว่า ผู้บริโภคเริ่มมองหาทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น และ *สเตเบิลคอยน์* กำลังกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกหลัก "ธนาคารต้องเริ่มพิจารณาปรับนโยบายดอกเบี้ยมิฉะนั้นอาจรักษาฐานลูกค้าไว้ไม่ได้" ลีกล่าว
สไตรป์ในฐานะบริษัทฟินเทครายใหญ่ กำลังขยายบริการที่รองรับคริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชนอย่างต่อเนื่อง การแสดงความเห็นในครั้งนี้ไม่เพียงเน้นย้ำถึงความเป็นไปได้ที่ *สเตเบิลคอยน์* จะเข้าสู่ระบบการเงินภาคหลัก แต่ยังชี้ให้เห็นถึง *ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการกำหนดนโยบายดอกเบี้ยของธนาคาร* ทั่วโลกในอนาคตอีกด้วย
ความคิดเห็น 0