‘บิตคอยน์คอร์ v30.0’ อัปเดตล่าสุดของบิตคอยน์(BTC) กลายเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งในหมู่ชุมชนผู้พัฒนาและผู้ใช้งาน หลังมีการเพิ่มขนาดข้อมูลในธุรกรรมผ่านฟังก์ชัน ‘OP_RETURN’ จาก 80 ไบต์เป็นสูงสุด 100,000 ไบต์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจกระทบต่อปรัชญาเดิมของระบบ บางฝ่ายถึงขั้นอ้างว่า OP_RETURN เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ ‘ต้นแบบ’ ที่ *ซาโตชิ นากาโมโตะ* ออกแบบขึ้นตั้งแต่แรกเริ่ม
ตามรายงานการอัปเดตจากทีมบิตคอยน์คอร์ v30.0 ฟีเจอร์หลักได้แก่การเปลี่ยนค่าเริ่มต้นของ ‘datacarriersize’ ให้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในเอกสารทดสอบมีตัวอย่างการสร้างธุรกรรมที่มีข้อมูล OP_RETURN เกิน 83 ไบต์อย่างชัดเจน การเปิดกว้างในด้านพื้นที่จัดเก็บข้อมูลนี้ได้สร้างกระแสวิพากษ์ในวงกว้างภายในชุมชน ทั้งผู้พัฒนาและผู้ใช้งาน
นิค ซาโบ(Nick Szabo) ผู้ที่อยู่ในกลุ่มออกแบบบิตคอยน์ช่วงเริ่มต้น แสดงจุดยืนชัดเจนว่า *“ไม่แนะนำให้ใช้เวอร์ชันนี้อย่างยิ่ง”* พร้อมเสนอให้ผู้ใช้หันไปใช้เวอร์ชัน ‘บิตคอยน์โหนดส์’ แทน ขณะที่ผู้ใช้บิตคอยน์รายอื่นๆ ก็เริ่มส่งเสียงคัดค้าน โดยมองว่าอัปเดตล่าสุดละเมิดแนวทาง ‘ความมั่นคงของระบบ’ และ ‘หลักการใช้งานอย่างเรียบง่าย’ ที่เป็นเอกลักษณ์ของบิตคอยน์มาตลอด
อย่างไรก็ตาม อดัม แบ็ค(Adam Back) ซีอีโอของบริษัทบล็อกสตรีม(Blockstream) และเป็นหนึ่งในบุคคลรุ่นแรกในวงการคริปโต ได้ออกมาสนับสนุนการอัปเดตนี้ โดยยืนยันว่า *OP_RETURN เป็นฟีเจอร์ที่ซาโตชิออกแบบไว้ตั้งแต่แรก* ไม่ใช่การเสริมภายหลัง โดยเขาชี้ว่า OP_RETURN มีประโยชน์ในการแนบข้อมูลสำคัญเข้ากับธุรกรรม และถูกใช้อย่างแพร่หลายในแอปพลิเคชันบนบล็อกเชน
แม้จะมีการเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ เช่นการรองรับ TRUC Transaction แต่การเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างของไบนารี ก็ยังทำให้ผู้ใช้งานหลายรายรู้สึกไม่สบายใจ และกังวลว่าบิตคอยน์อาจสูญเสียหลักการด้าน ‘การตรวจสอบได้’ และ ‘การออกแบบที่เรียบง่าย’
ในขณะที่แนวทางระหว่าง ‘นวัตกรรม’ กับ ‘ความอนุรักษ์’ ยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ ชุมชนบิตคอยน์ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าทีมบิตคอยน์คอร์จะตอบสนองต่อกระแสนี้อย่างไร และเมื่อไรที่การอัปเดตครั้งนี้จะถูกนำมาใช้งานอย่างเป็นทางการ ความเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบบิตคอยน์ในอนาคต
ความคิดเห็น 0