บิตคอยน์(BTC) และไบแนนซ์คอยน์(BNB) ทำสถิติ *ราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์* ท่ามกลางบรรยากาศตลาดที่กลับมาเต็มไปด้วยความคาดหวังอีกครั้ง โดยเฉพาะแซดแคช(ZEC) ที่พุ่งขึ้นกว่า 60% ภายในสัปดาห์เดียว กลายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนยังคงปกคลุมตลาดจากปัญหา *ชัตดาวน์บางส่วนของรัฐบาลสหรัฐ* ที่ยืดเยื้อ
การเข้าสู่เดือนตุลาคมยิ่งตอกย้ำปรากฏการณ์ ‘Uptober’ ที่นักลงทุนรอคอยมาโดยตลอด โดยบิตคอยน์ได้พุ่งทะลุแนวต้าน 120,000 ดอลลาร์ในช่วงต้นเดือน ก่อนจะทำจุดสูงสุดใหม่ที่ราว 126,000 ดอลลาร์ในช่วงสุดสัปดาห์ แต่จากนั้นเกิดแรงขายทำให้ราคาย่อลงต่ำกว่า 121,000 ดอลลาร์ ก่อนฟื้นตัวเล็กน้อยกลับมาเคลื่อนไหวแถว 121,200 ดอลลาร์ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากสถานการณ์การคลังของรัฐบาลสหรัฐ
ไบแนนซ์คอยน์ยังคงแสดง *โมเมนตัมเชิงบวก* ต่อเนื่อง โดยสามารถทำราคาทะลุ 1,300 ดอลลาร์ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน แม้ล่าสุดจะปรับฐานลงมาเคลื่อนไหวแถว 1,250 ดอลลาร์ แต่ยังสามารถแซง ‘ริปเปิล(XRP)’ ขึ้นมาเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดได้ในขณะนี้ ในด้านของแซดแคช ราคาวิ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดในรอบ 4 ปี แตะระดับ 280 ดอลลาร์ ซึ่งแสดงถึงกระแสความสนใจต่อเหรียญความเป็นส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นในตลาด
รวมมูลค่าของตลาดคริปโตขณะนี้ทะลุ *4.4 ล้านล้านดอลลาร์* เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยบิตคอยน์ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 57.1% ขณะที่กระแสคาดการณ์ว่า ‘ฤดูกาลของเหรียญอัลท์’ อาจกลับมาอีกครั้งเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น โดยอีเธอเรียม(ETH) แม้ยัง *แกว่งตัวใต้ระดับ 4,300 ดอลลาร์* แต่มีนักวิเคราะห์หลายรายเชื่อว่าราคามีโอกาสในรอบนี้ที่จะพุ่งสู่ระดับ *13,000 ดอลลาร์* ได้
อดีตซีอีโอของบิตเม็กซ์ อาเธอร์ เฮย์ส(Arthur Hayes) ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า *วัฏจักรการขึ้นลงของบิตคอยน์ในรอบ 4 ปีได้สิ้นสุดลงแล้ว* และตลาดกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงขาขึ้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์สายทองคำอย่างปีเตอร์ ชิฟ(Peter Schiff) แสดงความกังวลว่า ราคาทองคำที่ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า *บิตคอยน์กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย*
ในฝั่งของริปเปิล ราคาถอยลงราว 7% จากการที่นักลงทุนรายใหญ่ หรือ "วาฬ" เทขายเฉลี่ยวันละราว 50 ล้านดอลลาร์ สร้างแรงเทขายต่อเนื่องขัดขวางการฟื้นตัว นอกจากนี้ การที่ ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ เริ่มกลับมาแข็งค่า ก็กระตุ้นความกังวลเรื่อง *การดูดสภาพคล่องจากตลาดทั่วโลก* ซึ่งอาจส่งผลต่อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างบิตคอยน์และเหรียญหลักอื่น ๆ
หากภาวะชะงักงันในสภาคองเกรสของสหรัฐยังไม่มีทางออกชัดเจน มีความเป็นไปได้ว่าแรงกดดันจากความไม่แน่นอน *จะยิ่งทวีความรุนแรง* แม้ในระยะสั้นนักลงทุนจะยังเห็นโอกาสจากเหรียญที่ราคาพุ่งแรง แต่ความผันผวนจากปัจจัยภาพใหญ่ยังคงคาดเดาไม่ได้ นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับ ‘การบริหารความเสี่ยง’ และมี *กลยุทธ์ปรับพอร์ตอย่างยืดหยุ่น* เพื่อตอบโต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ความคิดเห็น 0