ระบบชำระเงินบน ‘บล็อกเชน’ กำลังกลายเป็นโครงสร้างหลักของโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินทั่วโลก โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2025 มูลค่าธุรกรรมรวมต่อปีอาจแตะระดับ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4,170 ล้านล้านบาท) จากรายงานล่าสุดโดย CoinLaw บริษัทวิจัยด้านฟินเทค รายงานระบุว่าธุรกรรมข้ามพรมแดนบนระบบบล็อกเชนเติบโตเฉลี่ย 45% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่เร่งให้ระบบการเงินดั้งเดิมต้องเปลี่ยนแปลงตาม
จุดแข็งของ *บล็อกเชน* อยู่ที่การลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมได้สูงถึง 70–80% และยังลดเวลาประมวลผลเหลือเพียงเฉลี่ย 3–10 วินาที ขณะที่ระบบการเงินแบบดั้งเดิมใช้เวลาดำเนินการโอนเงินระหว่างประเทศนานถึง 2–5 วัน โดย ‘ริปเปิลเน็ต(RippleNet)’ รายงานว่าปัจจุบันสามารถดำเนินการธุรกรรมระหว่างประเทศด้วยมูลค่ารวมกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน (ประมาณ 2.08 ล้านล้านบาท) ได้แบบเรียลไทม์
ในด้านนโยบาย ‘เงินดิจิทัลกลางจากธนาคารกลาง (CBDC)’ ประเทศต่างๆ กว่า 120 แห่งทั่วโลกอยู่ในช่วงเริ่มต้นพัฒนาเพื่อเสริมประสิทธิภาพการโอนข้ามพรมแดน ประเทศในแอฟริกามีอัตราการนำ *บล็อกเชน* มาใช้งานเพิ่มขึ้นกว่า 60% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการเข้าถึงช่องทางการเงินใหม่ๆ ในภูมิภาคกำลังพัฒนาเหล่านี้
ภายในสหรัฐฯ ธนาคารพาณิชย์กว่า 85% ได้ทดลองระบบชำระเงินบน *บล็อกเชน* หรือดำเนินการผสานระบบเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ธนาคาร 60% ได้นำ *บล็อกเชน* มาใช้แล้ว เหนือกว่าทั้งอเมริกาเหนือ (55%) และยุโรป (50%) ที่กำลังเร่งตามมา
ด้านบริษัทผู้ให้บริการการชำระเงินรายใหญ่ เช่น วีซ่า($V) และมาสเตอร์การ์ด($MA) ก็มีธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ *บล็อกเชน* รวมมูลค่าเกิน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 695,000 ล้านบาท) ในปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทประกันยังหันมาใช้ *บล็อกเชน* เพื่อเร่งขั้นตอนการเคลมประกัน โดยอัตราการใช้งานเพิ่มจาก 18% ในปี 2022 เป็น 35% ภายในปีนี้
การใช้ *บล็อกเชน* ยังช่วยสถาบันการเงินลดต้นทุนในการดำเนินงานสูงถึง 35% ด้วยการตัดคนกลางและลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกง จากเดิมที่ธุรกรรมหนึ่งรายการใช้เวลากว่า 10 นาที แต่ตอนนี้ถูกลดลงมาอยู่ในระดับภายใน 10 นาที ส่งผลให้การเปลี่ยนผ่านสู่เครือข่ายการเงินแบบเรียลไทม์เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ในประเทศที่เผชิญภาวะเงินเฟ้อรุนแรง การยอมรับ *สินทรัพย์ดิจิทัล* กำลังแพร่หลายอย่างรวดเร็ว โดยเอลซัลวาดอร์ที่ประกาศให้ ‘บิตคอยน์(BTC)’ เป็นเงินที่ถูกกฎหมาย พบว่า 35% ของประชากรมีการใช้กระเป๋าคริปโตฯ ขณะที่ไนจีเรียครองสัดส่วน P2P ทรานแซกชันในแอฟริกาถึง 45% ส่วนในอาร์เจนตินาและตุรกี การใช้งานคริปโตฯ พุ่งเกือบ 60% ภายใต้แรงกดดันจากการอ่อนค่าของสกุลเงินท้องถิ่น
"ความคิดเห็น" รายงานฉบับนี้ชี้ชัดว่า *บล็อกเชน* ไม่ใช่เพียงแค่เทคโนโลยี แต่เป็นหัวใจสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินในอนาคต การปรับใช้ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพกำลังเปลี่ยนระบบการเงินโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ความคิดเห็น 0