ระบบกู้ยืมหุ้นแบบดั้งเดิมยังคงติดอยู่กับโครงสร้างที่ล่าช้าและขาดความโปร่งใส ตั้งแต่การจัดการไฟล์ด้วยมือ การตรวจสอบอีเมลอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงการโยกย้ายหลักประกันที่กระจัดกระจาย ล้วนส่งผลให้เกิดความไม่มีประสิทธิภาพและความเชื่อถือในตลาดลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ‘การกู้ยืมหุ้นบนบล็อกเชน (on-chain equity lending)’ กำลังก้าวขึ้นมาเป็นทางเลือกที่สามารถ *เปลี่ยนแปลงระบบเก่า* นี้ได้อย่างสิ้นเชิง
ตลาดหุ้นให้ความสำคัญกับ ‘ความรวดเร็วและความแม่นยำ’ เป็นหลัก ทว่าระบบในปัจจุบันกลับอืดอาด ล่าช้า และเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการชำระบัญชีที่ล่าช้า การเรียกคืนที่ติดขัด หรือการกระทำของบริษัทที่ก่อให้เกิดข้อผิดพลาดอยู่เนือง ๆ ในจุดนี้ สัญญาอัจฉริยะบนบล็อกเชนได้เข้ามา *ลบความไร้ประสิทธิภาพ* เหล่านั้น ด้วยการชำระธุรกรรมแบบเรียลไทม์และทำให้ขั้นตอนซ้ำ ๆ เป็นอัตโนมัติ
นี่ไม่ใช่แค่ความฝัน แต่คือทิศทางที่องค์กรกำกับดูแลและผู้วางโครงข่ายระบบการเงินทั่วโลกกำลังเตรียมพร้อมอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS), สำนักงานกำกับตลาดหลักทรัพย์แห่งยุโรป (ESMA) หรือแม้แต่เวทีเศรษฐกิจโลก (WEF) ต่างก็เร่งทดสอบและพัฒนา *สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC)* และ *ระบบการชำระเงินด้วยเงินฝากแบบโทเคน* อย่างจริงจัง สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึง *การยอมรับในระดับโลกต่อสินทรัพย์แบบโทเคนและระบบการเงินโปรแกรมเมเบิล* ที่เริ่มเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ในปัจจุบัน การกู้ยืมหุ้นมักจะประเมินความเสี่ยงและการเปิดเผยข้อมูลหลักหลังจากที่มีการทำธุรกรรมเกิดขึ้นไปแล้ว ต่างจากระบบ ‘ออนเชน’ ที่ตรวจสอบเงื่อนไขแบบอัตโนมัติตั้งแต่ต้น หากไม่ผ่านเกณฑ์เช่น วงเงินความเสี่ยง หรือระยะเวลาการเรียกคืน ระบบก็จะไม่อนุมัติการให้กู้ยืมตั้งแต่แรก ความสามารถนี้สร้างความ *เสถียรภาพและความโปร่งใส* ได้มากกว่าระบบเดิมที่ต้องพึ่งการจัดการข้อยกเว้นทีละกรณี
ตามรายงานของธนาคารกลางสาขานิวยอร์กในปี 2025 พบว่า ระบบการชำระเงินที่ขับเคลื่อนด้วยโปรแกรมสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยและอัตโนมัติ ซึ่งหมายถึงว่า *กระบวนการชำระธุรกรรมในตลาดหุ้นเองก็สามารถทำให้อัตโนมัติได้เช่นกัน* และยังคงความมั่นคงไว้ได้
แน่นอนว่ามุมมองด้านลบต่อกฎระเบียบยังคงมี หลายฝ่ายเห็นว่ามันขวางนวัตกรรม แต่ในความเป็นจริง กฎระเบียบคือ ‘เข็มทิศ’ ที่ช่วยกำหนดทิศทาง ระบบทดลองควบคุมของตลาดการเงินด้วยบล็อกเชนในยุโรป (sandbox) แสดงให้เห็นแล้วว่าการตรวจสอบและรายงานผลแบบเรียลไทม์ *สามารถอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายจริง* ได้ ซึ่งช่วยเปิดทางให้ระบบกู้ยืมหุ้นบนบล็อกเชนเข้าสู่ตลาดได้อย่างเป็นระบบ
อย่างไรก็ดี ความท้าทายทางเทคโนโลยีก็ยังมีอยู่ เช่น *ปัญหาการแยกส่วนของเครือข่าย, การรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล, และการทำให้รูปแบบหลักประกันเป็นมาตรฐานเดียวกัน* ซึ่งแนวทางแก้ไขที่ถูกเสนอขึ้นมา เช่น การใช้บล็อกเชนแบบได้รับอนุญาต (permissioned blockchain) ที่มีการตรวจสอบตัวตน (KYC), เทคโนโลยี Zero Knowledge Proofs หรือแม้กระทั่งมาตรฐานการออกโทเคนของสินทรัพย์แบบใหม่ที่สอดคล้องกันมากขึ้น
หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป ระบบกู้ยืมหุ้นแบบเดิม *อาจกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัย* ทั้งในด้านความแม่นยำและความเชื่อถือ เพราะเวลาที่ใช้ในแต่ละกระบวนการนั้นส่งผลโดยตรงต่อรายได้ และความเสี่ยงจากคู่ค้าก็ทำให้ความไว้วางใจในตลาดลดลงอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม ระบบกู้ยืมแบบออนเชนให้ความสำคัญกับ *ความโปร่งใสและความแม่นยำ* ตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่แค่การปรับปรุงเล็กน้อย แต่คือ *การเปลี่ยนแปลงทั้งแนวคิดของระบบตลาดทั้งหมด*
ตอนนี้ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ “ควรเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน” อีกต่อไปแล้ว เพราะ *กฎระเบียบถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว, โครงการนำร่องให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน, และความต้องการจากนักลงทุนสถาบันก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง* หากยังปฏิเสธหรือเมินเฉยต่อการ *ทำให้กระบวนการกู้ยืมหุ้นเป็นอัตโนมัติและกลายเป็นโทเคน* ระบบเดิมก็จะล้มหายตายจากไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงเวลาที่ต้องยอมรับคำตอบที่ชัดเจน: *อนาคตของการกู้ยืมหุ้นคือการขึ้นบล็อกเชน*
ความคิดเห็น 0