บิตคอยน์(BTC) ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบหลังเกิดความผันผวนรุนแรง โดยล่าสุดราคาทรงตัวที่ประมาณ 113,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 15.7 ล้านบาท แม้ตลาดคริปโตจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่บางโทเคนที่เกี่ยวข้องกับ *ปัญญาประดิษฐ์ (AI)* ยังคงพุ่งขึ้นเป็นเลขสองหลัก ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก
เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ บิตคอยน์ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 126,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 17.5 ล้านบาท) ก่อนจะเผชิญแรงขายอย่างหนัก เหตุการณ์เริ่มต้นหลัง *ประธานาธิบดีทรัมป์ส่งสัญญาณเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติม* สร้างแรงกดดันต่อตลาดการเงิน ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์หล่นลงเหลือ 101,000 ดอลลาร์ (ราว 14 ล้านบาท) บางกระดานซื้อขายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ในขณะเดียวกัน ตลาดอัล트คอยน์ก็ทรุดตัวลงด้วย โดยมีเทรดเดอร์ที่ใช้เลเวอเรจมากเกินกว่า 1.6 ล้านบัญชีถูกบังคับขาย (Liquidation) คิดเป็นมูลค่ารวมสูงถึง 19,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2.64 ล้านล้านบาท นับว่าเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
อย่างไรก็ตาม ราคาบิตคอยน์สามารถฟื้นตัวกลับมาและยืนเหนือระดับ 110,000 ดอลลาร์ได้ในเวลาต่อมา โดยปรับขึ้นไปแตะ 116,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 16.1 ล้านบาท) ในช่วงเช้าวันอังคาร ก่อนจะเผชิญแรงเทขายอีกระลอก กดดันราคากลับมาที่ระดับ 110,000 ดอลลาร์อีกครั้งในช่วงค่ำ ตอนนี้ บิตคอยน์กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบราคาค่อนข้างนิ่ง โดยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 2.25 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 3,127 ล้านล้านบาท) สัดส่วนการครอบครองตลาดลดลงต่ำกว่า 57%
ขณะที่โทเคนอัลต์คอยน์จากโปรเจกต์ AI อย่าง ‘ChainOpera AI’ กลายเป็นไฮไลต์ในครั้งนี้ โดยโทเคน COAI ของโครงการมีราคาพุ่งขึ้นถึง *113% ภายในวันเดียว* แตะระดับเกือบ 16 ดอลลาร์ (ประมาณ 22,000 บาท) ด้านโทเคนยอดนิยมอย่าง ซีแคช(ZEC) ก็เพิ่มขึ้น 18% ผ่านระดับ 260 ดอลลาร์ ขณะที่ ASTER กับ TAO ต่างก็ปรับขึ้น 11% และ 10% ตามลำดับ
ในหมู่สกุลเงินดิจิทัลรายใหญ่ ตลาดก็ขานรับในทิศทางบวกเช่นกัน อีเธอเรียม(ETH) ปรับขึ้น 4.7%, โซลานา(SOL) พุ่งขึ้น 5%, ขณะที่โดจคอยน์(DOGE), ทรอน(TRX), เอ이다(ADA), สเตลลาร์ลูเมน(XLM) และบิตคอยน์แคช(BCH) ต่างขยับขึ้นราว 3% ขณะเดียวกันไฮป์(HYPE) และโมเนโร(XMR) ก็พุ่งขึ้น 5.5% และ 7.5% ตามลำดับ
มูลค่าตลาดรวมของคริปโตเคอร์เรนซีทั้งหมดเพิ่มขึ้นราว 100,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 139 ล้านล้านบาท) ภายในวันเดียว สู่ระดับ 3.96 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5,494 ล้านล้านบาท) ตลาดยังคง *เคลื่อนไหวในภาวะตึงเครียดระหว่างกระแส AI กับประเด็นมหภาค* ที่ยังไม่แน่นอน ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกยืนดูท่าทีรอจังหวะใหม่ในการลงทุน
ความคิดเห็น 0