ตลาดคริปโตเคลื่อนตัวเข้าสู่ช่วงของการเติบโตอย่างมั่นคง เมื่อความสนใจจาก *สถาบันการเงิน* เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากทิศทางที่เคยเน้นเก็งกำไร ปัจจุบันจุดเน้นได้เปลี่ยนมาเป็น ‘การหลอมรวมกับระบบการเงินดั้งเดิม’ อย่างเต็มรูปแบบ
โยอี หวัง(Yoyee Wang) ผู้บริหารฝ่าย B2B ของแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตระดับโลก *ไบย์บิต(Bybit)* ให้สัมภาษณ์เมื่อเร็วๆ นี้ว่า สถานการณ์การเข้ามามีส่วนร่วมของสถาบันการเงินในตลาดคริปโตเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญในรอบปีที่ผ่านมา พร้อมเน้นย้ำว่า ‘ความไว้วางใจ’, ‘ความโปร่งใส’ และ ‘การร่วมมือกับภาคการเงินเดิม’ จะเป็น *กุญแจสำคัญ* ที่จะผลักดันอัตราการนำคริปโตมาใช้ในปี 2025
หวังชี้ว่า สถาบันการเงินหลายแห่งที่เคยถอนตัวหลังเหตุการณ์ FTX กลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง โดยเฉพาะเฮดจ์ฟันด์ บริษัทเทรดดิ้ง บริษัทจัดการสินทรัพย์ และแฟมิลีออฟฟิศ ซึ่งส่วนใหญ่พยายามตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่เริ่มหันมาให้ความสนใจกับ *คริปโตเคอร์เรนซี* มากขึ้น โดยใช้บริการของไบย์บิตในการขยายผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้อง
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าสถาบัน ไบย์บิตได้นำเสนอระบบ *ดูแลสินทรัพย์, สภาพคล่อง และการปฏิบัติตามข้อกำกับดูแล* เป็นกลยุทธ์หลัก โดยแพลตฟอร์ม B2B ของไบย์บิตมีการผสานรวมกับผู้ให้บริการรับฝากสินทรัพย์คริปโตอย่าง ไฟร์บล็อกส์(Fireblocks) และคูเปอร์(Copper) รวมถึงธนาคารดั้งเดิมชื่อดังอย่าง UBS, ธนาคารแห่งชาติของกาตาร์ และ Sygnum Bank และยังครอบคลุมถึงโครงสร้างไฮบริดอย่าง Zodia อีกด้วย
ในด้านสภาพคล่อง ไบย์บิตรับแนวคิดจากโลกการเงินดั้งเดิมมาใช้อย่างเข้มข้น เช่น ระบบ ‘ครอสมาร์จิ้น’ การใช้เลเวอเรจ และการชำระบัญชีแบบเรียลไทม์ พร้อมเน้นว่าไม่ว่าสินทรัพย์จะถูกเก็บไว้ในคริปโต, เงินเฟียต หรือแม้กระทั่ง ‘พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ’ ระบบก็สามารถรองรับได้อย่างมีเสถียรภาพ
ด้าน *การปฏิบัติตามกฎหมาย* ไบย์บิตได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศหลัก เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ออสเตรีย และอินเดีย และยังจัดตั้งระบบตรวจสอบการฟอกเงิน (AML) และการยืนยันตัวตนของลูกค้า (KYC) เพื่อเสริมสร้างโครงสร้างการกำกับดูแลที่เข้มงวด
หวังมองว่าโอกาสใหม่ของคริปโตขึ้นอยู่กับ *จุดร่วม* ที่สามารถสร้างผลประโยชน์ให้ทั้งสองฝ่าย ระหว่าง *การเงินดั้งเดิม* และ *สินทรัพย์ดิจิทัล* โดยระบุว่า ความสามารถในการบริหารจัดการของสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมจะช่วยให้โครงการคริปโตสามารถขยายตัวได้ ในขณะที่เทคโนโลยี ‘บล็อกเชน’ เองก็สามารถเป็นฐานให้บริการการเงินยุคใหม่ได้เช่นกัน
อีกหนึ่งแนวโน้มที่น่าสนใจคือ *การโทเค็นสินทรัพย์จริง (RWA)* ซึ่งกลายเป็นหัวข้อความร่วมมือที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้ง ไบย์บิตได้เตรียมโซลูชันสำหรับการสร้างและจัดการโครงการประเภทนี้ และอยู่ระหว่างการขยายขนาดพอร์ตสินทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ความไม่ชัดเจนด้านกฎระเบียบ การขาดสภาพคล่องของสินทรัพย์พื้นฐาน และปัญหาการขาดมาตรฐาน ยังเป็นอุปสรรคต่อการยอมรับของสถาบัน
ในแง่ *เทคโนโลยี* ไบย์บิตได้ปรับโครงสร้างให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าสถาบัน เช่น การใช้บัญชีซื้อขายแบบรวม (UTA) เพื่อวัดความเสี่ยงแบบเรียลไทม์ และการควบคุมบัญชีผ่าน API สำหรับรองรับกลยุทธ์การเทรดที่ซับซ้อน
หวังสรุปแนวโน้มของตลาดว่า สถาบันในอนาคตจะไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องแค่เพื่อ ‘ถือครอง’ คริปโตเพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นการผสาน *สินทรัพย์ดิจิทัล* เข้าไปใน *โมเดลธุรกิจและโครงสร้างทางการเงิน* อย่างลึกซึ้ง ซึ่งจะนำคริปโตจาก ‘ทางเลือก’ ไปสู่ ‘สินทรัพย์พื้นฐาน’ ของระบบการเงินอย่างเต็มรูปแบบ
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันในยุคสถาบัน ไบย์บิตจึงได้กำหนดกลยุทธ์ภายใต้กรอบ ‘ความน่าเชื่อถือ, การบูรณาการ, และการขยายตัว’ โดยคาดว่าในปี 2025 เป็นต้นไป การแข่งขันในกลุ่มแพลตฟอร์มที่ต้องการจับตลาดสถาบันจะยิ่งเข้มข้นขึ้น และจะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางของตลาดคริปโตในระยะถัดไปอย่างชัดเจน
ความคิดเห็น 0