ราคาของบิตคอยน์(BTC) ร่วงลงต่ำกว่า 100,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1 ล้านบาท) ส่งผลให้ผลกำไรของการขุดลดลงอย่างรุนแรง โดยแม้จะใช้อัตราค่าไฟฟ้าต่ำที่ 0.06 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง หลายบริษัทขุดก็ยังคงอยู่ใกล้ระดับ ‘จุดคุ้มทุน’ เท่านั้น
ข้อมูลจากการรายงานของ F2Pool ผู้ให้บริการพูลสำหรับการขุดบิตคอยน์เผยว่า แม้จะใช้เครื่องขุดรุ่นใหม่ล่าสุด ก็ยังต้องพึ่งราคาบิตคอยน์ให้อยู่ที่ประมาณ 97,000 ดอลลาร์ (ราว 1 ล้านบาท) จึงจะสามารถครอบคลุมต้นทุนได้ หากเป็นเครื่องขุดที่มีประสิทธิภาพต่ำ หรือใช้อัตราค่าไฟที่แพงกว่า ยิ่งมีโอกาสขาดทุนเพิ่มขึ้น
ในบรรดาอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตลาด ‘Antminer S21 XP Hyd.’(12.0 W/T) เป็นรุ่นที่ยังสามารถทำกำไรได้แม้ราคาของบิตคอยน์จะลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 41,585 ดอลลาร์ (ราว 5.56 แสนบาท) และอุปกรณ์ในตระกูล Antminer S21 ส่วนใหญ่ยังสามารถคงความสามารถในการทำกำไรได้แม้ราคาจะลงต่ำถึงระดับ 60,000 ดอลลาร์ (ราว 8 แสนบาท) แต่สถานการณ์ไม่ค่อยสดใสนักสำหรับเครื่องรุ่นเก่า
ตัวอย่างเช่น Whatsminer M53 ต้องการให้ราคาบิตคอยน์อยู่ที่อย่างน้อย 100,694 ดอลลาร์ (ราว 1.35 ล้านบาท) จึงจะคุ้มทุน ขณะเดียวกัน Antminer S19 ต้องการราคาแตะถึง 118,641 ดอลลาร์ (ราว 1.58 ล้านบาท) ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ ส่วนเครื่องรุ่นที่ไม่มีประสิทธิภาพที่สุดอย่าง CopyMiner C7 ต้องใช้ราคาบิตคอยน์ที่ 130,909 ดอลลาร์ (ราว 1.75 ล้านบาท) เพื่อให้สามารถทำกำไรได้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่สมจริงในสถานการณ์ปัจจุบัน
ราคาบิตคอยน์ในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 95,290 ดอลลาร์ (ราว 1.27 ล้านบาท) ซึ่งแม้จะยังสูงในภาพรวม แต่ก็ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่หลังช่วงขาลงที่ผ่านมา บริษัทขุดต่างๆ จึงกำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก ทำให้การอัปเกรดอุปกรณ์และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานกลายเป็น ‘ความจำเป็น’ มากกว่าทางเลือก
สถานการณ์ในครั้งนี้เน้นย้ำถึงข้อจำกัดของโครงสร้างรายได้จากการขุด และตอกย้ำช่องว่างทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมคริปโต ความแตกต่างด้านต้นทุนระหว่างผู้ใช้เครื่องรุ่นใหม่กับผู้ใช้เครื่องรุ่นเก่าอาจกลายเป็นตัวแปรสำคัญในอนาคตหากราคาบิตคอยน์ยังคงลดลงต่อ ซึ่ง *ความคิดเห็น* ระบุว่า ผู้ขุดขนาดเล็กที่ใช้อุปกรณ์ล้าสมัยอาจถูกบีบให้ออกจากตลาดเร็วยิ่งขึ้น
ความคิดเห็น 0