ปี 2025 กำลังกลายเป็นช่วงเวลาสำคัญที่บริษัทจำนวนมากเริ่มหันมาบริหาร *ทรัพย์สินดิจิทัล* ในรูปแบบของ *คลังสมบัติ (Digital Asset Treasury หรือ DAT)* โดยเฉพาะกลุ่มองค์กรที่มุ่งเน้นลงทุนใน *บิตคอยน์(BTC)* และ *อีเธอเรียม(ETH)* เช่น สแตรทิจี (Strategy) ของไมเคิล เซย์เลอร์ และ บิตไมน์(Bitmine) ของทอม ลี กำลังเป็นผู้นำในเทรนด์นี้ พร้อมๆ กับบริษัทคลังทรัพย์ดิจิทัลหน้าใหม่ที่เริ่มมีบทบาทโดดเด่นมากขึ้นในตลาด
หนึ่งในเหรียญที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ *ซีแคช(ZEC)* ซึ่งเป็นเหรียญที่ถือกำเนิดในปี 2016 จากการแยกตัวของบิตคอยน์ด้วยเทคโนโลยี 'ฮาร์ดฟอร์ก' โดยในปีนี้ ซีแคชสามารถทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตของเทคโนโลยี *ปัญญาประดิษฐ์ (AI)* ที่ทำให้ประเด็นเรื่อง ‘ความเป็นส่วนตัว’ กลายเป็นหัวข้อร้อนอีกครั้ง
กระแสนี้ถูกจุดประกายโดยสองพี่น้องผู้ร่วมก่อตั้งเจมินี คือ *ไทเลอร์ และ คาเมรอน วิงเคิลวอสส์* โดยไทเลอร์ได้ประกาศการจัดตั้ง DAT ใหม่ในชื่อ *ไซเฟอร์พังค์(Cypherpunk)* ซึ่งมีเป้าหมายหลักคือการสะสมเหรียญซีแคชอย่างเป็นระบบ โดยปัจจุบันมีเงินทุนอยู่ที่ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 100,000 ล้านบาท) และตั้งเป้าถือครอง *5% ของจำนวนเหรียญซีแคชหมุนเวียนในตลาด* ปัจจุบัน ไซเฟอร์พังค์ถือครองแล้วกว่า 233,644 ZEC
วิงเคิลวอสส์ระบุว่า “*บิตคอยน์ คือที่เก็บมูลค่า แต่ซีแคชคือวิธีการใช้มูลค่านั้นอย่างปลอดภัย*” พร้อมย้ำว่าเขามองยุค AI เป็น 'ตัวเร่ง' สำหรับความต้องการในเรื่องความเป็นส่วนตัว และเชื่อว่าหากบิตคอยน์เกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์ทางการเงิน ซีแคชก็กำลังก้าวขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ลึกซึ้งแบบเดียวกัน
ทั้งนี้ วิงเคิลวอสส์ยังเสนอแนวคิดว่า บิตคอยน์และซีแคชสามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้ โดยแม้บิตคอยน์อาจขยายฟีเจอร์ด้านความเป็นส่วนตัวในอนาคต แต่ซีแคชก็มีบทบาทชัดเจนในฐานะเครื่องมือการชำระเงินที่ 'ไม่ทิ้งร่องรอย' พร้อมเสริมว่า “ในอุดมคติ บิตคอยน์ควรมีฟีเจอร์ความเป็นส่วนตัวตั้งแต่เริ่ม แต่เมื่อไม่มี เหรียญอื่นก็จะเข้ามาเติมเต็มจุดนั้น”
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าความสนใจที่พุ่งขึ้นอย่างกะทันหันต่อซีแคชอาจเกินจริง เนื่องจากในอดีตเหรียญนี้เคยเงียบเหงามานาน แต่คาเมรอน วิงเคิลวอสส์ ตอบโต้ว่า ความเชื่อมั่นในซีแคชยังคงไม่เปลี่ยน เพียงแต่ปีนี้เป็น 'จังหวะเหมาะ' โดยเขายกกรณี *วิกฤตเงินฝากที่ไซปรัส* ซึ่งเคยจุดกระแสบิตคอยน์ว่า เป็นตัวอย่างของเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้คนแสวงหาทางเลือกใหม่ เช่นเดียวกับที่การเติบโตของการใช้ AI ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญเรื่องความเป็นส่วนตัว และส่งผลต่อการเร่งเติบโตของซีแคชในปัจจุบัน
ไทเลอร์ยังเสริมว่า กลุ่มผู้ที่สนับสนุนซีแคชส่วนใหญ่ ก็คือกลุ่มผู้สนับสนุนบิตคอยน์รุ่นแรกและกลุ่มไซเฟอร์พังค์ โดยยกตัวอย่างว่า *ซูโก้ วิลคอกซ์(Zooko Wilcox)* ผู้ก่อตั้งซีแคช ก็เป็นหนึ่งในแนวคิดดั้งเดิมดังกล่าว เขาเชื่อว่า ซีแคชกำลังมาถึงช่วงเวลาที่รอคอยมานาน
วิงเคิลวอสส์ไม่ใช่เพียงผู้ถือบิตคอยน์รายใหญ่ในช่วงเริ่มเท่านั้น แต่ยังเปิดรับแนวทางใหม่ๆ อย่าง *อีเธอเรียม(ETH)* และ *ซีแคช* ด้วย โดยในปี 2013 พวกเขาเคยซื้อบิตคอยน์ถึง 100,000 BTC ใช้เงินราว 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนสร้างชื่อในแวดวงลงทุนคริปโต ทั้งยังเปิดกว้างต่อเทคโนโลยีใหม่ เช่น สมาร์ตคอนแทรกต์ของอีเธอเรียม ที่เอื้อต่อการเข้าถึงของนักพัฒนา และเพิ่มความหลากหลายให้กับระบบนิเวศคริปโต
คาเมรอน วิงเคิลวอสส์ ยังกล่าวว่า “*บิตคอยน์คือสินทรัพย์ที่มั่นคงที่สุดในโลก และเป็นทองคำเวอร์ชันดิจิทัล*” พร้อมย้ำว่า นวัตกรรมจากอีเธอเรียมก็เป็นปัจจัยเติมเต็มที่สำคัญสำหรับการเติบโตของวงการโดยรวม “เราไม่ได้มองเป็นการแข่งขัน แต่การร่วมกันสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศ”
เขาสรุปว่า “*บิตคอยน์คือการพิสูจน์ด้วยพลังงาน (Proof of Work)*, *อีเธอเรียมคือความสามารถในการเขียนโปรแกรม*, และ *ซีแคชคือหัวใจของความเป็นส่วนตัว* – ความหลากหลายนี้คือสิ่งที่ทำให้ตลาดเติบโตไปพร้อมกัน”
ความคิดเห็น 0