ความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างบิตคอยน์(BTC)กับเทเธอร์(USDT) ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยเมื่อราคาบิตคอยน์ปรับตัวสูงขึ้น มักจะสอดคล้องกับการที่เทเธอร์ถูกถอนออกจากตลาดซื้อขายในปริมาณมาก ซึ่งสามารถตีความได้ว่าเป็นสัญญาณของนักลงทุนที่กำลัง ‘ทำกำไร’ และเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากตลาด
เมื่อวันที่ 8 บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน แกลสโนด(Glassnode) เปิดเผยผ่านแพลตฟอร์ม X (เดิมชื่อทวิตเตอร์) ว่า ได้ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างราคาบิตคอยน์กับข้อมูล ‘การไหลเข้า–ไหลออก’ ของเทเธอร์ โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่เดือนธันวาคมปีก่อน จนถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมา พบว่าช่วงที่บรรยากาศการลงทุนร้อนแรง เทเธอร์จะไหลออกจากตลาดเฉลี่ยวันละ 100–200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,466–2,932 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่าตลาดเริ่มเข้าสู่ช่วงทำกำไร
หนึ่งในตัวอย่างชัดเจนคือเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ราคาบิตคอยน์ดีดตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในช่วงสั้นที่ 126,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 18.46 ล้านบาท) ขณะเดียวกัน เทเธอร์ก็มีการไหลออกเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 220 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3,225 ล้านบาท) บนเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 30 วัน (30D-SMA) อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นการไหลออกชะลอลง ก่อนจะกลับสู่ภาวะ ‘ไหลเข้า’ อีกครั้ง บ่งชี้ว่าความกดดันด้านการขายในตลาดอ่อนแรงลง
ทางแกลสโนดให้ความเห็นว่า ข้อมูลการเคลื่อนไหวของเทเธอร์สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์จังหวะตลาดได้เป็นอย่างดี เพราะแสดงให้เห็นถึงการปรับพอร์ตของนักลงทุน และสะท้อน ‘อารมณ์ตลาด’ ได้อย่างแม่นยำ แม้จะไม่ได้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอื่นประกอบ
*ความคิดเห็น:* ความเคลื่อนไหวของเทเธอร์ในตลาดซื้อขายถือเป็นสัญญาณสำคัญ หากมีการไหลออกจำนวนมากอาจบ่งบอกถึงแรงขายที่กำลังเกิดขึ้น ในขณะที่การไหลกลับเข้าของเทเธอร์อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาจังหวะเข้าสะสมในราคาที่เหมาะสม การจับตา ‘สเตเบิลคอยน์’ อย่างเทเธอร์จึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ควรมองข้ามในสภาวะตลาดที่ผันผวน
ความคิดเห็น 0