เมซซารี่ รีเสิร์ช(Messari Research) เปิดเผยรายงานล่าสุดเกี่ยวกับโครงการบล็อกเชน ‘เชนลิงก์(Chainlink)’ โดยประเมินว่าเชนลิงก์กำลังพัฒนาก้าวข้ามกรอบเดิมของระบบออราเคิล มาเป็น ‘โครงสร้างพื้นฐานแบบครบวงจร’ สำหรับการเงินบนบล็อกเชน โดยครองส่วนแบ่งตลาดออราเคิลถึงเกือบ 70% และกลายเป็นโครงสร้างหลักของระบบการเงินแบบกระจายศูนย์หรือดีไฟน์(DeFi)
ตามรายงานของเมซซารี่ ณ เดือนตุลาคม 2025 เชนลิงก์สามารถปกป้องทรัพย์สินกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเชื่อมต่อกับโปรเจกต์มากกว่า 2,400 โครงการ นอกจากนี้ยังสนับสนุนมูลค่าการทำธุรกรรมสะสมสูงถึง 26 ล้านล้านดอลลาร์ จุดเด่นสำคัญของเชนลิงก์คือการรวมเทคโนโลยีอย่างข้อมูล, ความสามารถในการทำงานร่วมกัน, ความเป็นส่วนตัว, การปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ และการประสานระบบเข้าไว้ในโครงสร้างเดียว กลายเป็น ‘มาตรฐานโลก’ ที่ได้รับความเชื่อถือทั้งในแวดวงการเงินสถาบันและดีไฟน์
แรงขับเคลื่อนสำคัญของเชนลิงก์ คือ โครงสร้างการใช้โทเคน **LINK** ที่มีการปรับปรุงใหม่ โดยเริ่มต้นจากการระดมทุนผ่าน ICO มูลค่า 32 ล้านดอลลาร์ในปี 2017 ปัจจุบัน LINK ถูกใช้จ่ายในการให้บริการออราเคิล การให้รางวัลแก่โหนด และการสเตก รวมถึงการกำหนด ‘เชนลิงก์ รีเซิร์ฟ(Chainlink Reserve)’ ซึ่งเปิดตัวในปี 2025 เพื่อเก็บสะสมรายได้จากบริการและลูกค้าองค์กรในรูปแบบ LINK ปัจจุบันมี LINK มูลค่าราว 9 ล้านดอลลาร์ในรีเซิร์ฟ และคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งช่วยเสริม ‘มูลค่าในตัว’ ให้กับโทเคน
ในเชิงเทคนิค เชนลิงก์ได้เปิดตัวระบบ **Chainlink Runtime Environment (CRE)** ที่ช่วยให้นักพัฒนาและสถาบันสามารถผสานข้อมูล ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และจัดการทำงานร่วมกันระหว่างโลกออนเชนและออฟเชนอย่างไร้รอยต่อ เป้าหมายคือแก้ปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อระหว่างเชน ความปลอดภัยของข้อมูล และความเป็นส่วนตัวบนแพลตฟอร์มเดียว
เชนลิงก์ยังมาพร้อมเครื่องมือขั้นสูงเช่น **โปรโตคอลการทำงานร่วมกันระหว่างเชน(CCIP)**, **Blockchain Privacy Manager**, และ **Automated Compliance Engine(ACE)** ที่สามารถรองรับการโอนสินทรัพย์แบบครอสเชน ปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อน และตอบสนองข้อกำหนดด้านกฎหมายได้อย่างครบถ้วน ทั้งหมดนี้ทำให้เมซซารี่เรียกเชนลิงก์ว่า “ระบบประสานงานอันขาดไม่ได้ในโลกหลายเชน”
ในแวดวงดีไฟน์ เชนลิงก์มีบทบาทสำคัญกับแพลตฟอร์มชั้นนำอย่าง เอไวฟ์(Aave), ลิโด้(Lido), คามิโน(Kamino) และอีเธอร์ไฟ(ether.fi) โดยให้บริการข้อมูลด้านราคาและการพิสูจน์ทุนสำรอง ตัวอย่างเช่น Aave สามารถคุ้มครอง TVL มูลค่ากว่า 70,000 ล้านดอลลาร์ด้วยข้อมูลจากเชนลิงก์ และเริ่มนำ CCIP มาใช้เพื่อเพิ่มความสามารถด้านความเสี่ยงและฟังก์ชันข้ามเชน
ขณะที่ในภาคการเงินแบบดั้งเดิม เชนลิงก์สามารถสร้างพันธมิตรกับธนาคารและองค์กรระดับโลก เช่น เจพีมอร์แกน, ยูบีเอส, เอนแอ็นแซด(ANZ), สวิฟต์(Swift), ดีทีซีซี(DTCC), ยูโรกลีอาร์(Euroclear), มาสเตอร์การ์ด(Mastercard) และฟิเดลิตี้ อินเตอร์เนชันแนล(Fidelity International) โดยใช้ระบบเติมข้อมูลแบบออนเชนในการแสดงมูลค่าสินทรัพย์, NAV ของกองทุน หรือราคาค่าเงิน ฟิเดลิตี้ได้ป้อนข้อมูลของกองทุนมูลค่า 6,900 ล้านดอลลาร์ขึ้นสู่บล็อกเชน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและระบบบริหารกองทุนแบบอัตโนมัติ
นอกจากนี้ เชนลิงก์ยังมีบทบาทเชื่อมโยงสินทรัพย์ทางการเงินแบบดั้งเดิมเข้าสู่โลกบล็อกเชนได้อย่างราบรื่น เช่น ยูบีเอสใช้โครงสร้างของเชนลิงก์เพื่อจัดการการซื้อขายกองทุน USD Money Market บนเชนแบบอัตโนมัติ ขณะที่มาสเตอร์การ์ดได้เปิดใช้งานแอปพลิเคชัน Swapper ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานบัตรกว่า 3 พันล้านคนสามารถซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลแบบออนเชนได้โดยตรง ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนถึงข้อสรุปของเมซซารี่ว่า เทคโนโลยีของเชนลิงก์ได้เข้าสู่ระดับ ‘ใช้งานจริงเชิงพาณิชย์’ แล้ว
ท้ายที่สุด เชนลิงก์ไม่ได้เป็นเพียงออราเคิลด้านราคาธรรมดา แต่กำลังกลายเป็นแพลตฟอร์มครบวงจรที่รองรับการเงินออนเชนในทุกมิติ ตั้งแต่การจัดการข้อมูล การทำธุรกรรมอัตโนมัติ ไปจนถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ด้วยความสามารถด้านความเชื่อถือของข้อมูล ความสามารถทำงานข้ามเชน และโครงสร้างรายได้ที่เปลี่ยนแปลงได้ เชนลิงก์กำลังก่อร่างขึ้นเป็น ‘มาตรฐานพื้นฐาน’ ของระบบการเงินเว็บ3 อย่างเต็มตัว ความคิดเห็น: เชนลิงก์อาจเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่มีบทบาทสูงที่สุดในการนำบล็อกเชนสู่การใช้งานระดับโลกได้จริง
ความคิดเห็น 0