ประธานาธิบดีทรัมป์ถูกพาดพิงอีกครั้งจากพรรครีพับลิกัน หลังสมาชิกสภาคองเกรสบางส่วนออกมาเปิดเผยว่า รัฐบาลของทรัมป์เคยใช้มาตรการ ‘ปิดช่องทางธนาคาร’ (debanking) กับบริษัทคริปโต โดยไม่มีกรอบกฎหมายที่ชัดเจน ส่งผลให้เกิดความเคลื่อนไหวในสภาสหรัฐฯ ที่เรียกร้องให้ผ่านร่างกฎหมายโครงสร้างตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ภาคธุรกิจเดินหน้าได้ภายใต้กฎที่เป็นธรรม
เมื่อวันที่ 24 (เวลาท้องถิ่น) สมาชิกพรรครีพับลิกันในคณะกรรมาธิการบริการทางการเงินและคณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบของสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยรายงานที่ระบุว่า หน่วยงานกำกับดูแลภายใต้การบริหารของทรัมป์เคยใช้การตีความตามอำเภอใจ เพื่อชี้นำไม่ให้ธนาคารให้บริการแก่บริษัทสินทรัพย์ดิจิทัล พฤติกรรมลักษณะนี้ถูกเรียกว่า ‘Operation Choke Point 2.0’ และถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการจำกัดนวัตกรรมอย่างไม่เป็นธรรม
เฟรนช์ ฮิลล์(French Hill) ประธานคณะกรรมาธิการบริการทางการเงิน พร้อมด้วย แดน มูเซอร์(Dan Meuser) ประธานคณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบ แถลงว่า “สภาคองเกรสต้องผ่านร่างกฎหมาย CLARITY ที่ให้ความชัดเจนกับโครงสร้างตลาดคริปโต เพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกกฎหมาย” โดยร่างกฎหมายนี้ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการเกษตรและธนาคารในวุฒิสภา พร้อมตั้งเป้าให้เสร็จสิ้นภายในต้นปี 2026
ขณะเดียวกัน บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ถือครองบิตคอยน์(BTC) มากที่สุดในโลกอย่าง สเตรทเทจี(Strategy) ได้ดำเนินการระดมเงินสดสำรองจำนวน 1.44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.1 หมื่นล้านบาท) เพื่อใช้ในการจ่ายเงินปันผลและดอกเบี้ยหนี้สิน โดยเงินส่วนนี้ได้จากการขายหุ้นสามัญของบริษัท เพื่อวางรากฐานความมั่นคงทางการเงินในระยะอย่างน้อย 12 เดือน และวางเป้าขยายเป็น 24 เดือนในอนาคต
ในวันเดียวกัน สเตรทเทจียังประกาศซื้อบิตคอยน์เพิ่มอีก 130 เหรียญ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 17.2 พันล้านวอน หรือราว 172 ล้านบาท ทำให้จำนวนบิตคอยน์ที่บริษัทถือครองเพิ่มขึ้นเป็น 650,000 เหรียญ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 7.17 หมื่นล้านบาทตามราคาปัจจุบัน โดยยอดซื้อสะสมทั้งหมดอยู่ที่ 48.38 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 7.1 ล้านล้านบาท)
ตามแถลงการณ์ของบริษัท เงินสดสำรองใหม่นี้จะถูกใช้สนับสนุนการจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหุ้นทั้งหุ้นบุริมสิทธิ์และหุ้นสามัญ รวมถึงการชำระคืนหนี้แกนหลัก โดยมูลค่าทั้งหมดเทียบเท่าประมาณ 2.2% ของมูลค่าบริษัทโดยรวม, 2.8% ของทุนบริษัท และ 2.4% ของทรัพย์สินในรูปบิตคอยน์ การจัดการเช่นนี้สะท้อนถึงความพยายามในการรักษาสภาพคล่องท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน พร้อมแสดงให้เห็นว่าบริษัทยังเดินหน้าลงทุนในบิตคอยน์อย่างชัดเจนต่อไป
*ความคิดเห็น:* แนวโน้มของรัฐสภาสหรัฐฯ ที่หันมาเน้น ‘ความชัดเจนด้านกฎระเบียบ’ ในตลาดคริปโตชี้ให้เห็นจุดเปลี่ยนสำคัญจากยุคที่เน้น 'การควบคุมโดยไม่มีกรอบ' สู่ยุคที่ส่งเสริมการเติบโตในแบบเป็นธรรม การผลักดันกฎหมาย CLARITY และการลงทุนเชิงรุกของสเตรทเทจีอาจส่งผลบวกต่อตลาดบิตคอยน์ในระยะยาว ในฐานะสินทรัพย์ที่เป็นมากกว่าการลงทุน แต่มากขึ้นเรื่อย ๆ ไปสู่ ‘กลยุทธ์ทางการเงิน’ ที่บริษัทใหญ่ไว้วางใจ
ความคิดเห็น 0