ธนาคารประชาชนจีน(PBOC) ได้ประกาศแผนปฏิบัติการครั้งใหญ่เพื่อยกเครื่องระบบการดำเนินงานของหยวนดิจิทัล โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2026 แผนนี้ได้เปลี่ยนแปลงกลไกของสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง(CBDC) ตั้งแต่การออก การบริหารจัดการ ไปจนถึงการใช้งานในระดับประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
การปรับโครงสร้างครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับจากระยะทดลองที่ดำเนินมานานกว่า 10 ปี สู่การดำเนินการทั่วประเทศ พร้อมทั้งส่งเสริมคุณสมบัติพื้นฐานของสกุลเงินตามกฎหมาย เช่น ความสามารถในการออกและหมุนเวียน การเก็บมูลค่า และการชำระเงินข้ามพรมแดน
จากรายงานของสื่อเศรษฐกิจจีน เมื่อวันที่ 24 รองผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน ‘ลู่ เหล่ย’ เปิดเผยว่า ระบบใหม่ของหยวนดิจิทัลได้รับการออกแบบให้มีความมั่นคงทางเทคโนโลยีและบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพในระบบการเงิน โดยธนาคารกลางยังคงรับบทบาทกำกับดูแลและสนับสนุนทางเทคนิคโดยตรง เขากล่าวว่า “หยวนดิจิทัลจะทำหน้าที่เป็นหน่วยเงินตรา เป็นแหล่งเก็บมูลค่า และมีศักยภาพสำหรับการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน ซึ่งจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญต่อเสถียรภาพทางการเงินในอนาคต”
หนึ่งในจุดเด่นของแผนปฏิบัติการฉบับนี้คือการนำโครงสร้าง ‘สองชั้น’ มาใช้ ซึ่งสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารพาณิชย์ ที่ถือครองหยวนดิจิทัล จะต้องจ่าย ‘ดอกเบี้ย’ ให้แก่ผู้ถือสินทรัพย์ตามยอดเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัลของพวกเขา สถาบันการเงินยังสามารถบริหารจัดการทรัพย์สินและหนี้สินของตนเองได้อย่างอิสระตามจำนวนยอดคงเหลือ จึงถือเป็นระบบจูงใจที่เข้ากันได้กับบริบทตลาด
แนวทางนี้แตกต่างจากระบบเงินสดและระบบชำระเงินผ่านมือถือแบบเดิม และยังช่วยเพิ่มมูลค่าที่แท้จริงของการถือครองหยวนดิจิทัล ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้งานมากขึ้น
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนยังได้จัดตั้ง ‘ศูนย์ปฏิบัติการหยวนดิจิทัล’ ในเซี่ยงไฮ้ เพื่อเป็นฐานสำหรับการขยายการใช้งานในระดับประเทศ ศูนย์แห่งนี้จะรับหน้าที่หลักใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ การพัฒนาเครือข่ายชำระเงินทั่วโลกสำหรับธุรกรรมข้ามพรมแดน, การส่งเสริมการใช้บริการบล็อกเชนในระบบดิจิทัล และการพัฒนาแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลรูปแบบใหม่
ธนาคารประชาชนจีนยังมีแผนตั้งคณะกรรมการ ‘กำกับดูแลหยวนดิจิทัล’ เพื่อกำหนดบทบาทการกำกับดูแลแยกย่อยตามผู้ให้บริการและหน้าที่ในแต่ละด้าน เพื่อบริหารจัดการภาคส่วนต่างๆ ได้อย่างครอบคลุม
นอกจากนี้ แผนการล่าสุดนี้ยังถูกมองว่าเป็นการ ‘รีเซ็ต’ กลยุทธ์หลังความล้มเหลวของโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศในอดีต เช่น โครงการ mBridge ที่ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ถอนตัวออกไปเมื่อปีที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลด้านการนำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิด นำไปสู่เสียงวิจารณ์เรื่องความเป็นไปได้ในการใช้หลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร และกลายเป็นอุปสรรคต่อการขยายพันธมิตรระหว่างประเทศของจีนอย่างมีนัยสำคัญ
แม้ว่าจีนจะเริ่มพัฒนาหยวนดิจิทัลมาตั้งแต่ปี 2019 อย่างจริงจัง แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทาย เช่น การแข่งขันอย่างรุนแรงกับระบบชำระเงินเคลื่อนที่อย่าง ‘อาลีเพย์’ และ ‘วีแชตเพย์’ รวมถึงการตอบรับที่ยังไม่แพร่หลายในหมู่ผู้บริโภค ชาร์ลส์ จาง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฟินเทคของมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น ได้กล่าวว่า “หยวนดิจิทัลยังคงเผชิญกับคอขวดหลายด้านเมื่อใช้งานจริง”
อนาคตของหยวนดิจิทัลจะขึ้นอยู่กับความสามารถของธนาคารกลางในการบริหารจัดการ การสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน และการตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้มากเพียงใด
‘ความคิดเห็น’: แผนปฏิบัติการฉบับนี้ไม่เพียงยืนยันว่าจีนยังคงมุ่งมั่นต่อโครงการ CBDC แต่ยังสะท้อนถึงการหันมาเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศอย่างลึกซึ้ง โดยโครงสร้างสองชั้นที่เสนอสามารถเป็นแบบอย่างใหม่ให้แก่ประเทศอื่นที่กำลังพัฒนา CBDC เช่นกัน
ความคิดเห็น 0