แฮ็กเกอร์ที่โจมตีไบบิท(Bybit) ได้ทำการฟอกเงินจากคริปโตที่ขโมยมูลค่ากว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์(ประมาณ 51,000 ล้านบาท) ภายในเวลาเพียง 10 วัน อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยยังคงเชื่อว่าการติดตามธุรกรรมผ่านบล็อกเชนอาจช่วยให้สามารถกู้คืนเงินบางส่วนได้
เหตุการณ์โจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และถูกบันทึกว่าเป็นหนึ่งในคดีขโมยคริปโตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยแฮ็กเกอร์ได้ขโมย 500,000 อีเธอเรียม(ETH) ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.04 พันล้านดอลลาร์ และรวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ เช่น สเตคกิ้งอีเธอเรียม(STETH) และแมนเทิลสเตคกิ้งอีเธอเรียม(mETH) เงินจำนวนนี้ถูกโอนย้ายอย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มครอสเชนแบบกระจายศูนย์‘ธอร์เชน(THORChain)’
บริษัทวิเคราะห์ด้านความปลอดภัย ‘ลุคออนเชน(Lookonchain)’ รายงานเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ผ่านแพลตฟอร์ม X ว่าแฮ็กเกอร์ได้ทำการฟอกเงินแล้วกว่า 499,395 อีเธอเรียม(ETH) ผ่านธอร์เชน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเกือบทั้งหมดของเงินที่ถูกขโมย
ผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ถูกคาดการณ์ว่าเป็น ‘กลุ่มแฮ็กเกอร์ลาซารัส’ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเกาหลีเหนือ โดยบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชนหลายแห่งรวมถึง ‘อาร์คัม อินเทลลิเจนซ์(Arkham Intelligence)’ ระบุว่ากลุ่มนี้กำลังแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อซ่อนร่องรอย ทั้งนี้ ในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ประกาศคว่ำบาตรชาวเกาหลีเหนือ 15 รายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขโมยคริปโตและอาชญากรรมทางไซเบอร์เพื่อเป็นทุนสนับสนุนโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
เบน โจว(Ben Zhou) ซีอีโอของไบบิท เปิดเผยเมื่อวันที่ 4 มีนาคมว่า เงินที่ถูกขโมยไปกว่า 77% ยังคงสามารถติดตามได้ แต่มีสินทรัพย์มูลค่า 280 ล้านดอลลาร์(ประมาณ 10,200 ล้านบาท) ที่ไม่สามารถติดตามได้ และอีก 3% ถูกแช่แข็งในบางแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ ไบบิทยังได้คืนเงินมูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ให้กับลูกค้าทั้งหมดภายในวันที่ 24 กุมภาพันธ์
เดดี้ ลาวิด(Deddy Lavid) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทความปลอดภัยทางไซเบอร์ ‘ไซเวอร์ส(Cyvers)’ ให้ความเห็นว่า แม้ว่าการฟอกเงินผ่าน ‘มิกเซอร์’ และ ‘การแลกเปลี่ยนครอสเชน’ จะทำให้การกู้คืนเงินทำได้ยากขึ้น แต่การวิเคราะห์ข้อมูลบล็อกเชนและโมเดล AI อาจช่วยให้สามารถแช่แข็งและกู้คืนเงินบางส่วนได้ ทั้งนี้ เขาย้ำว่าการตอบสนองอย่างรวดเร็วก่อนที่เงินจะถูกเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์อื่นเป็นปัจจัยสำคัญ
ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมความปลอดภัยในโลกคริปโตยังคงมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อป้องกันการแฮ็กที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยหนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจคือ ‘การตรวจสอบธุรกรรมแบบออฟเชน(Offchain Transaction Validation)’ ซึ่งช่วยจำลองและตรวจสอบธุรกรรมล่วงหน้า เพื่อลดความเสี่ยงจากการแฮ็กหรือการฉ้อโกงได้มากถึง 99%
ความคิดเห็น 0