ท่ามกลางการแข่งขันเดือดในตลาดฟิวเจอร์สแบบไร้วันหมดอายุหรือ ‘เพอร์เพทชวล(Perpetual)’, โปรเจกต์ที่ได้รับประโยชน์อย่างเงียบๆ แต่โดดเด่นคือ *แพนเดิล(Pendle)* ที่กำลังผลักดันแพลตฟอร์มสวอปอัตราดอกเบี้ย ‘โบโรส(Boros)’ เข้าสู่ตลาดการเงินแบบกระจายศูนย์หรือ *ดีไฟ(DeFi)* อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยแนวคิดเดิมพันกับ ‘อัตราผลตอบแทน (Yield)’ แทน ‘ราคาทรัพย์สิน’ โบโรสกำลังสร้างเลเยอร์ทางการเงินรูปแบบใหม่ที่อาจเขย่าตลาดคริปโตในอนาคตอันใกล้
แม้ว่าช่วงสิ้นปีนี้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลจะอยู่ในภาวะทรงตัว โดยบิตคอยน์(BTC) ลดลง 0.81% และดัชนีหุ้นแนสแด็ก(-0.59%) กับ S&P 500(-0.39%) ต่างปรับฐานเล็กน้อย ขณะที่ราคาทองคำร่วงแรงกว่า 4% จากแรงขายทำกำไร แต่ตลาด *เพอร์เพทชวล* ยังคงเติบโต โดยมีอัตราการขยายตัวกว่า 1.3% ซึ่งเป็นผลจากความร้อนแรงของการเปิดตัวโทเคน LIT บนแพลตฟอร์ม *ไลท์เทอร์(Lighter)*
*ไลท์เทอร์* กลายเป็นผู้นำในตลาดเพอร์เพทชวลภายในเวลาอันสั้น โดยมียอดการซื้อขายสะสมในรอบ 30 วันล่าสุดเกิน 2 แสนล้านดอลลาร์(ราว 288.4 ล้านล้านวอน) แซงหน้า Aster และ *ไฮเปอร์ลิควิด(Hyperliquid)* ขณะที่โทเคน LIT มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ราว 695 ล้านดอลลาร์(ประมาณ 1.01 ล้านล้านวอน) โดยมี FDV หรือมูลค่าตลาดแบบเต็มที่ 2.8 พันล้านดอลลาร์(กว่า 4.3 ล้านล้านวอน) ด้วยอัตราส่วน P/S ที่ประมาณ 7 เท่า และ FDV/Sales ที่ 27 เท่า สะท้อนการเก็งกำไรที่แข็งแกร่ง
ในขณะที่การแย่งชิงความเป็นผู้นำในตลาดเพอร์เพทชวลทวีความรุนแรง อีกกลไกที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าเชิงโครงสร้างของตลาดคือ *โบโรส(Boros)* แพลตฟอร์มจาก *แพนเดิล* ซึ่งนิยามตัวเองว่า ‘อัตราผลตอบแทนแบบเพอร์เพทชวล’ โดยให้นักลงทุนเดิมพันกับความผันผวนของ *ผลตอบแทน* มากกว่าราคา และยังมีกลไก *วันหมดอายุ* ต่างจากเพอร์เพทชวลทั่วไป
จุดเด่นของโบโรสคือโทเคน ‘*ยูนิตผลตอบแทน(Yield Unit: YU)*’ ที่แสดงถึงผลตอบแทนในอนาคตของทรัพย์สินนั้นๆ นักลงทุนสามารถเปิดสถานะ *ลอง* โดยจ่ายอัตราคงที่และรับผลตอบแทนแบบลอยตัว หรือเลือกสถานะ *ชอร์ต* ในทางกลับกัน การคำนวณกำไรขาดทุนจะเกิดขึ้นในวันหมดอายุโดยอิงจากการเปรียบเทียบผลตอบแทนจริงกับตอนเข้าตลาด
ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม โบโรสมีสถานะเปิด (Open Interest) อยู่ที่ 245 ล้านดอลลาร์(ราว 353 พันล้านวอน) และมียอดสะสมการซื้อขายรวมทะลุ 6.8 พันล้านดอลลาร์(ประมาณ 9.8 ล้านล้านวอน) โดยมีรายได้รวมกว่า 300,000 ดอลลาร์(ราว 432 ล้านวอน) และเฉลี่ยรายเดือนประมาณ 67,000 ดอลลาร์(เกือบ 97 ล้านวอน) ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา โบโรสยังรักษาความเสี่ยงได้ดี เนื่องจากไม่มีค่าธรรมเนียมการชำระบัญชีที่มีนัยสำคัญ
ในแง่โครงสร้างตลาด โบโรสไม่ได้พึ่งพาแค่ *ไบแนนซ์* อย่างเดียวอีกต่อไป โดยปัจจุบัน กระจายอยู่ในไฮเปอร์ลิควิด(35%), OKX(29%) และแพลตฟอร์มอื่นๆ ส่วนคู่เทรดยอดนิยมคือ อีเธอเรียม(ETH) ต่อดอลลาร์, บิตคอยน์(BTC) และ HYPE ตามลำดับ
สิ่งที่ทำให้โบโรสน่าจับตามองคือธรรมชาติ *มัลติเชน-มัลติแอสเซต* ที่ไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง ทำให้สามารถขยายไปยังสินทรัพย์และเชนอื่นๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น เหล่าผู้เล่นระดับสูงสามารถใช้กลยุทธ์ซับซ้อนอย่างการเฮดจ์ต้นทุน, สร้างรายได้จากดอกเบี้ย หรือทำแคชแอนด์แครี่ได้อย่างยืดหยุ่น
หากสินค้าเพอร์เพทชวลได้รับการกำกับดูแลที่ชัดเจน และผลิตภัณฑ์ที่อิงทรัพย์สินในโลกจริง(RWA) เช่น หุ้น เทสลา(TSLA), ทองคำ และน้ำมันได้รับความนิยมมากขึ้น ความต้องการโทเคนอัตราดอกเบี้ยจะอาจไหลเข้าสู่โบโรสอย่างเป็นธรรมชาติ
แม้โบโรสยังครองสัดส่วนรายได้รวมของ *แพนเดิล v2* ไม่ถึง 5% แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า โบโรสอาจกลายเป็น *ขุมพลังการเติบโต* ที่สำคัญ และมีแนวโน้มแซงหน้าผลประกอบการจาก v2 ได้ในระยะยาว
*ความคิดเห็น:* โครงสร้างการตลาดที่เน้นอัตราผลตอบแทน แทนการเก็งกำไรด้วยราคาทรัพย์สิน อาจสะท้อนพัฒนาการเชิงคุณภาพของดีไฟอย่างแท้จริง โดยเฉพาะกระแสรองรับสภาพแวดล้อมของนักลงทุนสายกลยุทธ์ที่ต้องการเครื่องมือสำหรับบริหารความเสี่ยงแบบเฉพาะทาง โบโรสจึงน่าจะกลายเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของระบบการเงินบนบล็อกเชนในยุคหน้า.
ความคิดเห็น 0