ตลาดมีมคอยน์ที่เคยซบเซาอาจกลับมาคึกคักอีกครั้ง ตามการวิเคราะห์ล่าสุดจากผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มข้อมูลตลาดคริปโต ‘คอยน์เก็กโก้(CoinGecko)’ บ๊อบบี อง(Bobby Ong) ที่ระบุว่าแม้มีมคอยน์มักเคลื่อนไหวเป็น ‘ฤดูกาล’ แต่ขณะนี้ตลาดอยู่ในช่วงที่ต้องคัดกรองอย่างหนัก
มีมคอยน์พุ่งแรงเมื่อวันที่ 18 มกราคมหลังจาก 'ประธานาธิบดีทรัมป์' เปิดตัวโทเคนของตัวเอง แต่กลับถูกกระทบหนักจากกรณี ‘ลิบร่าเกต(Libragate)’ จนปริมาณการสร้างโทเคนและการซื้อขายรายวันบนแพลตฟอร์ม 'ปั๊มดอทฟัน(Pump.fun)' หดตัวลงกว่า 90%
ตลาดมีมคอยน์เผชิญความผันผวนอย่างรุนแรง โดยในเดือนมกราคมยอดซื้อขายรายสัปดาห์ของปั๊มดอทฟันแตะระดับสูงสุดที่ 3.3 พันล้านดอลลาร์ ก่อนร่วงลง 63% ในเดือนกุมภาพันธ์ ขณะเดียวกันข้อมูลจาก ‘คอยน์มาร์เก็ตแคป(CoinMarketCap)’ ระบุว่าเมื่อวันที่ 5 ธันวาคมปีที่แล้ว มูลค่าตลาดรวมของมีมคอยน์พุ่งถึง 124 พันล้านดอลลาร์ แต่ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 54 พันล้านดอลลาร์
องเผยว่าการเปิดตัวมีมคอยน์ของ 'ทรัมป์และเมลาเนีย' ดึงสภาพคล่องและความสนใจเข้าสู่ตลาดจนถึงจุดสูงสุด แต่กรณีลิบร่าเกตได้พิสูจน์ว่ากระแสมีมคอยน์ไม่สามารถรักษาระดับความนิยมได้ต่อเนื่อง
'ลิบร่า(LIBRA)' เป็นโครงการที่เชื่อมโยงกับ ‘ฮาเวียร์ มิเลย์(Javier Milei)’ ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา ซึ่งหลังเปิดตัวไม่นานกลับมีการเทขายโทเคนจากวงในมูลค่า 107 ล้านดอลลาร์ ทำให้ราคาทรุดฮวบ 94% สร้างความหวาดระแวงให้แก่นักลงทุนเกี่ยวกับความเป็นธรรมในตลาดมีมคอยน์
อย่างไรก็ตาม องเชื่อว่ามีมคอยน์จะไม่หายไปทั้งหมด โดยบอกว่า "โครงการอย่าง ด็อกคอยน์(DOGE), ชิบะอินุ(SHIB) และ บองก์(BONK) สามารถอยู่รอดผ่านหลายวัฏจักรของตลาดได้" พร้อมระบุว่ามีมคอยน์ที่มีชุมชนเหนียวแน่นและสร้างคอนเทนต์อย่างเป็นระบบยังมีศักยภาพอยู่ในระยะยาว
ขณะเดียวกัน บริษัทรวบรวมข้อมูลบล็อกเชน ‘แซนติเมนต์(Santiment)’ ชี้ว่าเมื่อความคลั่งไคล้มีมคอยน์ลดลง ตลาดก็เข้าสู่กระบวนการหมุนเวียนที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเงินทุนกำลังไหลกลับไปยัง 'บิตคอยน์(BTC)', 'อีเธอเรียม(ETH)' และบล็อกเชนเลเยอร์ 1 อื่นๆ
องสรุปว่าตลาดมีมคอยน์ในอนาคตจะเข้าสู่ 'กฎพาเรโตแบบเข้มข้น' ซึ่งหมายความว่า "99.99% ของโครงการอาจล่มสลาย แต่มีเพียงไม่กี่รายที่อยู่รอด" โดยท้ายที่สุด ความสำเร็จของมีมคอยน์ขึ้นอยู่กับการสร้าง ‘ชุมชนที่ภักดี’ มากกว่าการเป็นเพียงเทรนด์ระยะสั้น
ความคิดเห็น 0