โคอินเบส(COIN) กำลังเร่งขยายส่วนแบ่งในตลาดการวางเดิมพัน(สเตกกิ้ง)ของอีเธอเรียม(ETH) จนก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็น ‘ศูนย์รวมอำนาจ’ บนเครือข่าย ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมคริปโตเตือนว่า ความเข้มข้นของการรวมศูนย์อาจรุนแรงยิ่งขึ้น หากมีการเข้าร่วมของนักลงทุนสถาบันในอนาคต
เมื่อวันที่ 19 (เวลาท้องถิ่น) โคอินเบสเปิดเผยในรายงานของบริษัทว่า ปัจจุบันมีอีเธอเรียมราว 3.84 ล้านเหรียญถูกวางเดิมพันผ่านผู้ตรวจสอบ(Validator)ของตนเองจำนวนกว่า 120,000 ราย คิดเป็น 11.42% ของจำนวน ETH ทั้งหมดที่ถูกสเตกอยู่ ถือเป็นผู้ดำเนินการโหนดเดี่ยวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเครือข่าย
คาราน เซียร์เดไซ(Karan Sirdesai) ซีอีโอของมิราเน็ตเวิร์ก (Mira Network) เตือนว่า “โครงสร้างของการสเตกอีเธอเรียมเริ่มเอื้อให้บริษัทบางแห่งมีอำนาจเหนือระบบ ซึ่งอาจขัดแย้งกับหลักการของบล็อกเชนที่เน้น ‘การกระจายอำนาจ’”
อย่างไรก็ตาม โคอินเบสไม่ได้เป็นเจ้าของ ETH ที่สเตกมากที่สุด รายนั้นคือ ลิโด ไฟแนนซ์(Lido Finance) ซึ่งยังคงได้รับการมองว่า ‘ไม่เน้นรวมศูนย์’ เนื่องจากมีการกระจายความรับผิดชอบไปยังผู้ดำเนินโหนดอิสระหลายสิบราย แอนโธนี ซาซาโน(Anthony Sassano) นักวิเคราะห์คริปโตและผู้ดำเนินรายการพอดแคสต์ ‘The Daily Gwei’ ให้ความเห็นว่า “โครงสร้างของลิโดถูกออกแบบมาให้กระจายอำนาจมากกว่าโคอินเบสอย่างชัดเจน”
ด้านโคอินเบสระบุว่า การดำเนินการตรวจสอบ ETH ของบริษัทกระจายอยู่ในหลายประเทศ รวมถึงหลากหลายผู้ให้บริการคลาวด์ ไคลเอนต์ของอีเธอเรียม และรีเลย์ โดยมีการตรวจสอบความกระจายอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีแนวโน้มว่า โคอินเบสอาจกลายเป็นผู้เล่นหลักของเครือข่ายมากขึ้นในอนาคต
ในขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ(SEC) กำลังพิจารณาการอนุญาตให้มีการวางเดิมพัน ETH ผ่านกองทุน ETF โคอินเบสก็ก้าวล้ำไปก่อนแล้ว โดยรับหน้าที่เป็นผู้รับฝากทรัพย์ให้กับ ETF จำนวน 8 จาก 9 กองทุนอีเธอเรียมในสหรัฐ ซึ่งหากมีการปรับใช้เชิงนโยบายอย่างจริงจัง จะทำให้ ‘อิทธิพล’ ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เทมูจิน หลุย(Temujin Louie) ซีอีโอของวานเชน(Wanchain) เตือนว่า “หากหน่วยงานทางการเน้นควบคุมผู้เล่นรายใหญ่ เช่น โคอินเบส ก็อาจทำให้เครือข่ายอีเธอเรียมเปิดช่องให้กับการเซ็นเซอร์หรือการควบคุมจากหน่วยงานได้ง่ายขึ้น”
นอกจากนี้ การที่รัฐบาลสหรัฐอนุมัติให้ธนาคารสามารถเป็นผู้ตรวจสอบบนบล็อกเชนได้นั้น ยังเสริมโอกาสให้โคอินเบสและผู้ดำเนินการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลเข้ายึดครองสัดส่วนการสเตกมากขึ้น ซึ่งเซียร์เดไซให้ความเห็นว่า “ทิศทางเช่นนี้อาจผลักดันให้อีเธอเรียมมีโครงสร้างแบบรวมศูนย์ ไม่ต่างจากระบบการเงินเดิม”
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่าหากเกิดการแข่งขันก็อาจช่วยลดความเป็นการผูกขาดได้ โดย โรบินฮุด(Robinhood) ที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านคริปโตของตนเอง รวมถึงฐานผู้ใช้และระบบเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง ก็อาจเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งของโคอินเบสในอนาคตได้
ท้ายที่สุด ทิศทางของโครงสร้างการวางเดิมพันอีเธอเรียมที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับความเข้าร่วมของสถาบัน จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของระบบการกำกับดูแลและระดับของ ‘การกระจายอำนาจ’ ที่แท้จริงของเครือข่ายนี้
ความคิดเห็น 0