เบน โจว(Ben Zhou) ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบายบิท(Bybit) เปิดเผยว่าเกือบ 70% ของเงินที่ถูกขโมยจากการถูกแฮกโดยกลุ่มลาซารัส(Lazarus)ในเดือนกุมภาพันธ์นั้น ยังสามารถ *ติดตามแหล่งที่มา* ได้อยู่
เมื่อวันที่ 21 โจวได้เผยแพร่รายงานสรุปผ่านแพลตฟอร์ม X (เดิมคือทวิตเตอร์) ระบุว่าจากเงินที่ถูกแฮกไปมูลค่าราว 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 52,000 ล้านบาท) นั้นยังมีประมาณ 68.6% ที่สามารถตรวจสอบเส้นทางได้ ขณะที่ 27.6% ได้หายไปโดยไร้ร่องรอย ส่วนอีก 3.8% ได้ถูกแช่แข็งไว้เรียบร้อยแล้ว
ตามการเปิดเผยของโจว เงินที่ไม่สามารถติดตามได้มาจากการ ‘ฟอก’ ผ่านบริการมิกเซอร์(mixer) ก่อนจะถูกเคลื่อนย้ายผ่านบริดจ์ (bridge), ระบบระหว่างบุคคล(P2P) และแพลตฟอร์มซื้อขายนอกรอบ(OTC) โดยในขั้นตอนดังกล่าว มิกเซอร์ที่ใช้หลักคือ *วาซาบิ(Wasabi)* และบางส่วนของบิตคอยน์(BTC) ที่เกี่ยวข้องถูกส่งผ่านคริปโตมิกเซอร์(CryptoMixer), ทอร์นาโดแคช(Tornado Cash) และเรลกัน(Railgun)
ข้อมูลเพิ่มเติมระบุว่า บิตคอยน์จำนวน 944 BTC (ราว 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,314 ล้านบาท) ได้ถูกฟอกผ่านวาซาบิมิกเซอร์ ก่อนจะถูกส่งต่อผ่านหลากหลายบริการครอสเชนและสวอป เช่น THORเชน(THORChain), eXch, ลอมบาร์ด(Lombard), LI.FI, สตาร์เกต(Stargate) และซันสวอป(SunSwap) สุดท้ายก็เข้าไปสู่แพลตฟอร์ม P2P และ OTC
ในส่วนของอีเธอเรียม(ETH) มีจำนวนทั้งสิ้น 432,748 ETH (ราว 1.21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 17,666 ล้านบาท) ถูกแปลงเป็น BTC โดยประมาณ 2 ใน 3 เท่ากับมูลค่าราว 960 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 14,016 ล้านบาท) ได้กระจายเข้าไปในวอลเล็ตจำนวน 35,772 บัญชี และถูกแปลงรวมกันเป็น 10,003 BTC แล้ว
ขณะเดียวกันยังปรากฏว่ามีอีเธอเรียมหลงเหลืออยู่ในวอลเล็ต 12,490 บัญชี คิดเป็นมูลค่าราว 17 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 248 ล้านบาท
*ความคิดเห็น:* เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกว่าเป็นการแฮกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดซื้อขายคริปโต โดยมีสาเหตุมาจากแก๊งลาซารัสที่ใช้เทคนิคซับซ้อนเจาะจุดอ่อนในระบบโครงสร้างคอลด์วอลเล็ตของ exchange แสดงให้เห็นว่าการรักษาความปลอดภัยในโครงสร้างพื้นฐานยังคงเป็นจุดเสี่ยงสำคัญของอุตสาหกรรมคริปโต
ความคิดเห็น 0