ประธานาธิบดีทรัมป์กลับมากดดันให้เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง สถานการณ์นี้ดึงดูดความสนใจจากตลาด เนื่องจากเคยเกิดกรณีคล้ายกันในปี 2019 ซึ่งตามมาด้วยการพุ่งขึ้นอย่างมากของราคาบิตคอยน์(BTC)
ธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) เป็นองค์กรอิสระที่ไม่สามารถถูกถอดถอนโดยประธานาธิบดีหรือสภาคองเกรส และไม่สามารถถูกแทรกแซงโดยตรงในเรื่องนโยบายการเงิน อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงจับตาดูว่าการกดดันของทรัมป์ในครั้งนี้จะนำไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ยจริงหรือไม่
ทรัมป์ได้โพสต์ผ่านเครือข่ายโซเชียลมีเดียของตัวเอง ‘ทรูธโซเชียล’ เรียกร้องให้ลดอัตราดอกเบี้ยทันที พร้อมทั้งกล่าวหาพาวเวลล์ว่าเป็น “ผู้แพ้รายใหญ่” พร้อมเตือนว่ามีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวอย่างรุนแรง หลังคำแถลงนี้ ดัชนี S&P 500 ร่วงลงถึง 2.5% ภายในวันเดียว
ย้อนกลับไปในปี 2019 หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์กดดันในลักษณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐได้ดำเนินนโยบายลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับศูนย์ และในช่วงนั้นราคาบิตคอยน์(BTC) ที่มีมูลค่าราว 5,000 ดอลลาร์ พุ่งขึ้นสู่ 60,000 ดอลลาร์ในเวลาเพียง 12 เดือน
ในขณะนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่สหรัฐกำลังเร่งสะสมบิตคอยน์เป็นทุนสำรอง ราคาบิตคอยน์(BTC) ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายนได้ทะลุ 95,000 ดอลลาร์ และกำลังเข้าใกล้แนวต้านสำคัญที่ 100,000 ดอลลาร์
ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญในตลาดระบุว่า หากการกดดันของประธานาธิบดีทรัมป์ส่งผลให้เกิดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นทางการ ราคาบิตคอยน์(BTC) อาจเกิดการทะยานอย่างรุนแรงอีกครั้งคล้ายกับที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2019
ความคิดเห็น 0