แคธี วูด(Cathie Wood) ซีอีโอของ ARK Invest เปิดเผยว่า โอกาสที่ราคาบิตคอยน์(BTC) จะพุ่งขึ้นแตะ 1.5 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 เพิ่มสูงขึ้น
ในการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับรายงานล่าสุดของ ARK Invest วูดยืนยันว่า "เราเคยตั้งเป้าหมายราคาบิตคอยน์ไว้ที่ 1.5 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว" พร้อมเสริมว่า "การที่นักลงทุนสถาบันหันมาให้ความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น กำลังทำให้เป้าหมายนี้มีโอกาสกลายเป็นจริงมากขึ้น"
ราคาบิตคอยน์ยังคงซื้อขายต่ำกว่า 100,000 ดอลลาร์ นับตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ โดยปัจจัยสำคัญมาจากความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับแรงกดดัน และทำให้นักลงทุนมีความระมัดระวังมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม วูดเชื่อว่าการเข้ามาของนักลงทุนสถาบันจะมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของบิตคอยน์ในระยะยาว โดยเธออธิบายว่า "นักลงทุนสถาบันมองว่าบิตคอยน์มีศักยภาพที่แตกต่างจากสินทรัพย์แบบดั้งเดิม และพวกเขากำลังเพิ่มบิตคอยน์เข้าไปในพอร์ตการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง"
หากการคาดการณ์ของวูดเป็นจริง บิตคอยน์จะต้องมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 58% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า
ในขณะเดียวกัน บริษัทจัดการสินทรัพย์ ฟรานคลิน เทมเพิลตัน(Franklin Templeton) ได้จดทะเบียน ‘ฟรานคลิน โซลานา ทรัสต์(Franklin Solana Trust)’ ในรัฐเดลาแวร์ สหรัฐฯ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ในการออกกองทุน ETF ที่อ้างอิงราคาโซลานา(SOL)
จากข้อมูลการจดทะเบียน พบว่าทรัสต์ดังกล่าวจัดตั้งโดย CSC Delaware Trust Company ซึ่งเป็นบริษัทที่เคยให้บริการด้านการจดทะเบียนแก่ผู้จัดการสินทรัพย์ที่มีผลิตภัณฑ์คริปโต เช่น Bitwise มาก่อน
หากฟรานคลิน เทมเพิลตันต้องการเปิดตัวโซลานา ETF จะต้องยื่นเอกสาร ‘19b-4’ และ ‘S-1’ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) และหากได้รับอนุมัติ บริษัทก็จะร่วมแข่งขันในตลาด ETF ที่อ้างอิงราคาโซลานากับ Grayscale, Bitwise, VanEck, 21Shares และ Canary Capital
ด้าน SEC เอง กำลังพิจารณาปรับกลยุทธ์ทางกฎหมายเกี่ยวกับคดีคริปโต และได้ร้องขอต่อศาลให้ขยายกำหนดเวลาการดำเนินคดีบางกรณีออกไป
ตามเอกสารที่ยื่นต่อศาลแขวงรัฐอิลลินอยส์ตอนเหนือเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ SEC ได้ขอขยายเวลาส่งเอกสารคดีฟ้องร้อง Cumberland DRW บริษัทให้บริการสภาพคล่องด้านคริปโต ออกไปจากเดิม 19 กุมภาพันธ์ เป็น 21 มีนาคม โดยให้เหตุผลว่า "การดำเนินการของหน่วยงาน Task Force ด้านคริปโตอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของคดีนี้ การขยายเวลาออกไปจึงอาจช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น"
การตัดสินใจของ SEC ครั้งนี้ อาจเป็นสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงแนวทางการกำกับดูแลอุตสาหกรรมคริปโตในอนาคต
ความคิดเห็น 0