เฮสเตอร์ เพียร์ซ(Hester Peirce) กรรมาธิการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ(SEC) ได้แสดงความคิดเห็นว่ามีมคอยน์(Meme Coin) ส่วนใหญ่ไม่น่าจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ SEC
เพียร์ซให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg เมื่อเร็วๆ นี้ว่า "มีมคอยน์ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการดูแลของ SEC ตามกฎระเบียบปัจจุบัน" พร้อมเสริมว่า "สภาคองเกรสหรือคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า(CFTC) อาจเข้ามาดูแล แต่โอกาสที่ SEC จะกำกับโดยตรงนั้นค่อนข้างต่ำ" ทั้งนี้ เพียร์ซซึ่งได้รับฉายาว่า ‘Crypto Mom’ ในวงการคริปโต กำลังจะเข้ารับหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะทำงานพิเศษด้านคริปโตที่ตั้งขึ้นใหม่ของ SEC
ความคิดเห็นของเพียร์ซสอดคล้องกับท่าทีของเดวิด แซ็คส์(David Sacks) ผู้รับผิดชอบนโยบายด้านคริปโตและปัญญาประดิษฐ์(AI) ที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ในรัฐบาลทรัมป์ โดยแซ็คส์มองว่า NFT และมีมคอยน์ควรถูกจัดประเภทเป็น ‘ของสะสม’ ซึ่งหมายความว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าทางวัฒนธรรมหรือเป็นที่ระลึก อย่างไรก็ตาม ยังคงมีหน่วยงานกำกับดูแลและนักการเมืองบางส่วนที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับมีมคอยน์ โดยวุฒิสมาชิกเอลิซาเบธ วอร์เรน(Elizabeth Warren) เตือนว่ามีมคอยน์ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองอาจกลายเป็นเครื่องมือเก็งกำไรอย่างหนัก และเรียกร้องให้มีการตรวจสอบจากรัฐบาลกลาง
ด้านประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้สร้างกระแสในตลาดคริปโตด้วยการเปิดตัวมีมคอยน์ชื่อ ‘ออฟฟิเชียลทรัมป์(TRUMP)’ สามวันก่อนเข้ารับตำแหน่ง โดยโทเคนดังกล่าวมีราคาปรับตัวจาก $7 ขึ้นไปแตะ $75 ในวันแรก ก่อนที่จะลดลงมาที่ระดับ $40 นอกจากนี้ เมลาเนีย ทรัมป์ ภรรยาของเขาก็ได้เปิดตัวโทเคนของตนเองชื่อ ‘ออฟฟิเชียลเมลาเนีย(MELANIA)’ เช่นกัน ปัจจุบัน TRUMP มีราคาซื้อขายอยู่ที่ราว $15 ขณะที่ MELANIA อยู่ที่ประมาณ $1.42
ไม่เพียงแต่ผู้นำสหรัฐเท่านั้นที่เข้าร่วมกระแสมีมคอยน์ เพราะผู้นำประเทศอื่นก็เริ่มนำแนวคิดนี้มาใช้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ฟอแตง อาร์ชานจ์ ตูอาเดรา(Faustin-Archange Touadéra) ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐแอฟริกากลาง(CAR) ซึ่งได้เปิดตัวโทเคน ‘CAR’ โดยมีรายงานว่าหนึ่งในนักลงทุนสามารถทำกำไรมหาศาลถึง 12 ล้านดอลลาร์ จากการลงทุนเพียง $5,000 แต่โปรเจกต์ดังกล่าวกลับถูกตั้งคำถามถึงความถูกต้อง หลังจากมีการตรวจสอบพบว่าวิดีโอโปรโมตของโครงการอาจถูกปรับแต่งโดย AI นอกจากนี้ ผู้ให้บริการโดเมน Namecheap ยังได้ปิดเว็บไซต์ทางการของโปรเจกต์ ทำให้มีข้อกังขาเพิ่มเติม
นักวิเคราะห์ชี้ว่าหากตลาดมีมคอยน์ต้องการเติบโตไปอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีที่นักพัฒนาบางกลุ่มสามารถปรับแต่งสัญญาโทเคนเพื่อถือครองเหรียญในปริมาณสูง ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อนักลงทุนรายย่อย และอาจส่งผลให้หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาตรวจสอบมากขึ้นในอนาคต
ความคิดเห็น 0