ศาลอุทธรณ์กลางของสหรัฐฯ มีคำตัดสินให้การเก็บ ‘ภาษีศุลกากรทั่วไป’ ที่ประกาศใช้ในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป โดยคำตัดสินนี้มีขึ้นระหว่างที่บทสรุปทางกฎหมายยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งคาดว่าคำตัดสินขั้นสุดท้ายจะมีขึ้นในช่วงปลายฤดูร้อน และกำลังได้รับความสนใจจากทั้งภาคธุรกิจและนักลงทุน
ประธานาธิบดีทรัมป์อ้างอิงอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (IEEPA) เพื่อนำมาใช้ในการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนในอัตรา 10% พร้อมภาษีเพิ่มเติมเฉพาะกลุ่ม โดยรัฐบาลในขณะนั้นให้เหตุผลว่าเป็นการตอบโต้ปัญหาการลักลอบนำเข้าฟินทานิลและปัญหาการอพยพผิดกฎหมาย แต่ภาษีดังกล่าวกลับกลายเป็นต้นตอของการขึ้นราคาสินค้าภายในประเทศ สร้างภาระให้กับบริษัทและผู้บริโภคของสหรัฐฯ จนนำไปสู่เสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง
ศาลการค้าระหว่างประเทศเคยตัดสินว่าการใช้มาตรการดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์กลับมีคำสั่งระงับคำตัดสินนั้น พร้อมระบุว่าควรดำเนินการพิจารณาอย่างเร่งด่วนเนื่องจากประเด็นนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษ จึงคาดว่าการตัดสินสุดท้ายของศาลอุทธรณ์จะออกมาในช่วงปลายฤดูร้อนนี้
คำตัดสินล่าสุดสร้างความเห็นทั้งสองด้าน โดยอิลิยา โซมิน ศาสตราจารย์ด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยจอร์จ เมสัน ซึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายผู้ฟ้อง รู้สึก ‘ผิดหวังแต่พอใจที่กระบวนการจะไม่ล่าช้า’ ขณะที่ทำเนียบขาวแถลงสนับสนุนคำตัดสินนี้ว่าเป็น ‘การใช้อำนาจอย่างชอบธรรมเพื่อจัดการปัญหาความไม่สมดุลทางการค้าและการลักลอบขนยาเสพติด’ ด้านทรัมป์เองก็โพสต์ในแพลตฟอร์ม Truth Social ของเขาว่าเป็น ‘ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่และสำคัญต่อสหรัฐฯ’
ทั้งนี้ คำตัดสินดังกล่าวครอบคลุมเฉพาะมาตรการภาษีตาม IEEPA เท่านั้น ไม่รวมถึงภาษีที่เรียกเก็บจากเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ ที่อ้างอิงตามกฎหมายการค้าในมาตรา 232 ซึ่งยังคงมีผลต่อไป
ขณะเดียวกัน บริษัทในสหรัฐฯ ยังคงเผชิญกับภาวะ *ความไม่แน่นอน* โดยเฉพาะในด้านนโยบาย เพราะประธานาธิบดีทรัมป์เคยปรับเปลี่ยนนโยบายภาษีกระทันหันในอดีต ทำให้แผนธุรกิจและกลยุทธ์ขององค์กรต่างๆ ต้องปรับตัวตามอย่างเร่งด่วน เจพีมอร์แกนเคยประเมินว่า หากมีการยกเลิกภาษีดังกล่าว อัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ อาจลดจากระดับ 13–14% ลงมาอยู่ที่ประมาณ 5% ซึ่งแม้จะเป็นการลดลงที่สำคัญ แต่ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2024 ถึงราวสองเท่า
ทรัมป์ยังคงย้ำจุดยืนสนับสนุนการผลิตภายในประเทศของสหรัฐฯ และผลักดันให้บริษัทข้ามชาตินำฐานการผลิตกลับเข้าประเทศ (reshoring) อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างซัพพลายเชนนั้นต้องใช้ทั้งเงินทุนมหาศาลและเวลาหลายปี การตัดสินของศาลในครั้งนี้จึงอาจกลายเป็น ‘ตัวแปรสำคัญ’ ที่จะชี้ทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และส่งผลต่อกลยุทธ์ของบริษัทระดับโลกในอนาคต
ความคิดเห็น 0