สหรัฐฯ ปรับเกณฑ์ใหม่ รับคริปโตเป็นสินทรัพย์พิจารณาสินเชื่อบ้านอย่างเป็นทางการ

ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ เมื่อสกุลเงินดิจิทัลเริ่มได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการให้เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์สำหรับการพิจารณาสินเชื่อ โดยหน่วยงานรัฐที่ให้การสนับสนุนด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยอย่าง แฟนนี เมย์(Fannie Mae) และ เฟรดดี แมค(Freddie Mac) ได้ตัดสินใจนำ *คริปโตเคอร์เรนซี* เข้ามารวมในเกณฑ์พิจารณาการกู้ซื้อบ้านเดี่ยวอย่างเป็นทางการ

เมื่อวันที่ 3 (เวลาท้องถิ่น) วิลเลียม เจ. เพิลท์(William J. Phelte) ผู้อำนวยการของสำนักงานกำกับดูแลการเงินด้านที่อยู่อาศัยแห่งสหรัฐฯ (FHFA) ได้แถลงข่าวถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญภายใต้การผลักดันของ *ประธานาธิบดีทรัมป์* ที่ผลักดันนโยบายการวางรากฐานสินทรัพย์ดิจิทัลในภาคการเงินของประเทศ

เพิลท์ระบุว่า "การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการศึกษาวิจัยและวิเคราะห์ในวงกว้าง เรากำลังตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการให้สหรัฐฯ กลายเป็นศูนย์กลางของ *คริปโตเคอร์เรนซี* ทั่วโลก" ทั้งยังเน้นว่าในระบบพิจารณาสินเชื่ออนาคต จะมีการตรวจสอบข้อมูลจำนวนคริปโตที่หมุนเวียน การถือครองของผู้กู้ และสภาพคล่องของเหรียญเหล่านั้นเป็นปัจจัยร่วมด้วย

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้ บิตคอยน์(BTC), อีเธอเรียม(ETH) และเหรียญหลักอื่น ๆ มีสถานะเป็น ‘สินทรัพย์ทางการเงิน’ ที่ถูกต้องตามเกณฑ์ของการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยในสหรัฐฯ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่ถือครองคริปโตในปริมาณมากสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และอาจได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่าเดิม

ผู้เชี่ยวชาญในวงการอสังหาริมทรัพย์และฟินเทคให้ “ความคิดเห็น” ไปในทางเดียวกันว่ามาตรการนี้จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพาคริปโตเข้าสู่ระบบการเงินกระแสหลักอย่างเต็มตัว ตัวแทนจากบริษัทที่ปรึกษาการเงินแห่งหนึ่งกล่าวว่า “จากเดิมนักลงทุนคริปโตอาจเสียเปรียบในการพิจารณาขอสินเชื่อ แต่จากนี้ไปสถานการณ์กำลังเปลี่ยน พลังของ *สินทรัพย์ดิจิทัล* จะมีบทบาทมากขึ้นในระบบการเงิน"

ตลอดระยะเวลาที่ *ทรัมป์* ดำรงตำแหน่ง ฝ่ายบริหารสหรัฐฯ ได้เร่งผลักดันให้เทคโนโลยีบล็อกเชนและ *อุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี* เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยล่าสุดทรัมป์ได้เปิดเผยอย่างชัดเจนว่าต้องการให้สหรัฐฯ กลายเป็น ‘เมืองหลวงของโลกสำหรับ AI และคริปโต’ ซึ่งนโยบายล่าสุดนี้ ก็ถือเป็นหลักฐานที่สะท้อนแนวทางเปิดกว้างต่อการรองรับความหลากหลายของสินทรัพย์ส่วนบุคคลในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างแท้จริง