Back to top
  • 공유 แชร์
  • 인쇄 พิมพ์
  • 글자크기 ขนาดตัวอักษร
ลิงก์ถูกคัดลอกแล้ว

รายงานชี้เงินทุนใหม่ทะลัก 544,000 ล้านดอลลาร์ หนุนบิตคอยน์(BTC) กลายเป็นศูนย์กลางระบบการเงินโลก

บิตคอยน์(BTC) กำลังพัฒนาไปไกลกว่าสินทรัพย์เพื่อเก็งกำไร โดยกลายเป็นหนึ่งในแกนหลักของระบบการเงินโลกอย่างรวดเร็ว จากรายงานฉบับล่าสุดซึ่งจัดทำโดยบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลออนเชนอย่าง Glassnode ร่วมกับ Avenir Group ระบุว่าหลังจากปลายปี 2022 เป็นต้นมา ได้มี ‘เงินทุนใหม่’ ไหลเข้าสู่ระบบนิเวศของบิตคอยน์มากถึง 544,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 756.1 ล้านล้านวอน ซึ่งส่งผลให้สภาพคล่องของเครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

รายงานฉบับนี้เรียกการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตลาดครั้งนี้ว่า ‘*สามประสานแห่งสภาพคล่อง*’ ซึ่งหมายถึงการประสานกันของกิจกรรมออนเชน โครงสร้างตลาดระดับจุลภาค และทิศทางเศรษฐกิจมหภาค ที่ผลักดันให้บิตคอยน์เติบโตขึ้นในฐานะ ‘สินทรัพย์อิสระ’ อย่างมั่นคง

ข้อมูลจาก Glassnode ระบุว่า ตั้งแต่มีนาคม 2023 นักลงทุนที่ถือครองบิตคอยน์สามารถสร้างกำไรเฉลี่ยต่อวันได้สูงถึง 550 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7.65 หมื่นล้านวอน บ่งชี้ว่าผู้เล่นในตลาดมีความมั่นใจอย่างมากต่อการถือครองระยะยาว และตลาดก็มีความลึกเพียงพอที่จะรับภาระการขายเพื่อทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

ในมุมของตลาดนอกเครือข่าย หรือ Off-chain ความร้อนแรงก็ไม่ต่างกัน โดยมูลค่ารวมของสัญญาคงค้างในตลาดฟิวเจอร์สและออปชันพุ่งจาก 11.1 พันล้านดอลลาร์ในช่วงปลายปี 2022 ไปแตะระดับสูงสุดที่ 114 พันล้านดอลลาร์ เมื่อบิตคอยน์ทำสถิติเกิน 100,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในปี 2025 สะท้อนให้เห็นถึงการเข้ามาของ *นักลงทุนสถาบัน* ที่มากกว่าแค่ความสนใจในกระแส

ที่น่าจับตาคือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคำสั่งซื้อในตลาดฟิวเจอร์ส โดยก่อนที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ(SEC) จะอนุมัติ ETF บิตคอยน์แบบ Spot ในปี 2024 ตลาดยังเต็มไปด้วยแรงขาย ทว่าเมื่อได้รับการอนุมัติ ก็มีแรงซื้อจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาอย่างชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ‘*ดีมานด์จริง*’ ที่เริ่มขับเคลื่อนตลาด

อย่างไรก็ตาม ดัชนี Cumulative Volume Delta (CVD) ซึ่งวัดกิจกรรมซื้อขายแบบสะสม เผยให้เห็นว่าการฟื้นตัวของตลาดบิตคอยน์ยังคงอาศัย ‘*ทุนเพื่อการเก็งกำไร*’ เป็นหลัก เนื่องจากตลาดฟิวเจอร์สยังคงมีปริมาณการซื้อขายมากกว่าตลาด Spot อย่างล้นหลาม ซึ่งอาจหมายถึงการมีฟองสบู่เป็นองค์ประกอบหนึ่ง

รายงานยังเน้นว่าการเคลื่อนไหวของราคาบิตคอยน์ในปัจจุบันมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับดัชนีการเงินแบบดั้งเดิม เช่น ดัชนี S&P500 และดัชนีสภาพคล่องโลก (GLI) ในขณะที่ความสัมพันธ์กับวัฏจักรตลาดคริปโตแบบดั้งเดิมกลับลดลง ล่าสุดมีเงินจำนวนกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.08 ล้านล้านวอน ไหลเข้าสู่ ETF แบบ Spot และถูกจัดให้เป็นกลุ่ม “*อาร์บิทราจแบบไม่หวังผลตอบแทน*” ซึ่งแสดงให้เห็นแนวโน้ม ‘แรงซื้อจากสถาบัน’ อย่างชัดเจน

ในขณะที่ตลาดอัลท์คอยน์กลับเผชิญกับปัญหาสภาพคล่อง โดยในรอบวัฏจักรนี้ยอดเงินลงทุนใหม่ลดลงถึง 46 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 63.9 ล้านล้านวอน เมื่อเทียบกับรอบก่อนหน้า เห็นได้ชัดจากส่วนแบ่งของอีเธอเรียม(ETH) ซึ่งแต่เดิมถือครองถึง 65% ของเงินลงทุนในอัลท์คอยน์ กลับลดลงเหลือเพียง 31% ส่งผลให้บทบาทความเป็นผู้นำในตลาดอัลท์คอยน์อ่อนตัวลง

ในทางกลับกัน โซลานา(SOL) และ ริปเปิล(XRP) ยังคงเติบโตได้ดี แม้จะมาจากปัจจัยที่ไม่ปกติ โดยในกรณีของโซลานา มูลค่าตลาดรวมของเหรียญมีมพุ่งขึ้นจาก 400 ล้านดอลลาร์เป็น 37 พันล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 9,150% ขณะที่ XRP ได้รับแรงหนุนจากความคืบหน้าในการยุติคดีความระหว่าง Ripple Labs กับ SEC ที่ดำเนินมายาวนาน

ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะกลายเป็น *จุดพลิกเกมสำคัญ* สำหรับกลยุทธ์ของนักลงทุนในอนาคต เนื่องจากเม็ดเงินและความต้องการที่มีอยู่เริ่ม ‘ไหลเข้าสู่บิตคอยน์และตลาดที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ’ มากขึ้น ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่าง ETF และดัชนีสภาพคล่องโลก ก็ทำให้นักเทรดไม่สามารถพึ่งพาการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจได้อีกต่อไป *ความคิดเห็น*: ตลาดคริปโตอาจต้องการกรอบวิเคราะห์แบบใหม่ที่ครอบคลุมการเงินระดับมหภาคมากยิ่งขึ้น

<ลิขสิทธิ์ ⓒ TokenPost ห้ามเผยแพร่หรือแจกจ่ายซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต>

บทความที่มีคนดูมากที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น 0

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม

0/1000

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม
1