ผลกระทบจากคลื่นความร้อนทั่วสหรัฐฯ ในช่วงเดือนมิถุนายน ส่งผลให้เครือข่ายของบิตคอยน์(BTC) ต้องรับภาระหนัก จนค่าแฮชเรต (Hashrate) ลดลงถึง *15%* ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน ขณะเดียวกัน เหตุการณ์แฮ็กและการเจาะระบบที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นำไปสู่ความเสียหายรวมกว่า *150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ* หรือประมาณ *2,085 พันล้านวอน*
แม้จะเผชิญแรงกดดันเหล่านี้ บางบริษัทกลับเดินหน้า *ถือครองบิตคอยน์ในงบดุล* โดยใช้แนวทางของไมโครสเตรทจี(MicroStrategy) ที่มี *ไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor)* เป็นประธานกรรมการบริหาร เป็นแรงบันดาลใจ ข้อมูลจากตลาดชี้ว่า ปัจจุบันมีมากกว่า *250 บริษัททั่วโลก* ที่จัดเก็บบิตคอยน์ไว้ในบัญชีทรัพย์สิน
ด้านกฎระเบียบก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน โดยเฉพาะในเอเชีย หลายประเทศรวมถึงฮ่องกงและเกาหลีใต้ ได้เริ่มร่างกฎหมายใหม่ที่เกี่ยวกับ *การยกเว้นภาษีคริปโต* และ *การเปิดให้มีการออกเหรียญสเตเบิลคอยน์ (Stablecoin)* ส่งผลให้บรรยากาศทางกฎหมายผ่อนคลายมากขึ้น จนสร้างความหวังให้กับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในภูมิภาค
ขณะเดียวกันในสหรัฐฯ กระบวนการออกกฎหมายเกี่ยวกับคริปโตเริ่มเคลื่อนไหวในระดับรัฐ มากกว่าในระดับรัฐบาลกลาง โดยมี *10 รัฐ* กำลังเสนอร่างกฎหมายที่ครอบคลุมทั้ง *การเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับคริปโตในกฎหมายพาณิชย์* การจัดตั้ง *เงินสำรองด้วยบิตคอยน์* และการวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น
ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แฮชเรตของเครือข่ายบิตคอยน์ร่วงจาก *942.6 ล้าน TH/s* ลงมาอยู่ที่ *799 ล้าน TH/s* ซึ่งถือเป็นการลดลงที่รุนแรงที่สุดในรอบ *3 ปี* ทั้งนี้ นักวิเคราะห์เชื่อว่า สาเหตุหลักมาจากอุณหภูมิที่สูงจัดในสหรัฐฯ ทำให้หลายเหมืองต้อง *หยุดการดำเนินงานชั่วคราว* โดยเฉพาะในรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นแหล่งตั้งของเหมืองขนาดใหญ่ บวกกับ *ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น* ในพื้นที่เหล่านี้ ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ระบบเครือข่ายเผชิญแรงกดดันมากยิ่งขึ้น
*ความคิดเห็น:* ความเคลื่อนไหวในตลาดคริปโตเดือนมิถุนายนสะท้อนภาพรวมของอุตสาหกรรมที่ยังคงอ่อนไหวต่อทั้งปัจจัยสิ่งแวดล้อมและกฎระเบียบ แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามของหลายฝ่ายในการปรับตัวและยกระดับความน่าเชื่อถือของสินทรัพย์ดิจิทัลบนเวทีโลก
ความคิดเห็น 0