ไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor) ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารบริษัทลงทุนในบิตคอยน์(BTC) อย่างไมโครสตรีเมจี(MSTR) เปิดเผยว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 บริษัทได้เข้าซื้อบิตคอยน์เพิ่มอีก 41,407 BTC และสร้างกำไรจากการประเมินมูลค่ากว่า *44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6.15 ล้านล้านวอน)* โดยเซย์เลอร์เป็นผู้นำข่าวมาบอกผ่านแพลตฟอร์ม X (เดิมคือทวิตเตอร์) ซึ่งสร้างเสียงตอบรับอย่างกว้างขวางในหมู่ชุมชนคริปโตอีกครั้ง
ผลกำไรในช่วงไตรมาสนี้เกิดจากผลตอบแทนสินทรัพย์บิตคอยน์ของไมโครสตรีเมจีที่เติบโตขึ้นจากราคาถึงราว 7.8% โดยเพียงหนึ่งวันก่อนหน้านี้ เซย์เลอร์ก็เพิ่งเผยว่าบริษัทได้ซื้อเพิ่มอีก 4,980 BTC (ราว 6.9 แสนล้านวอน) นับเป็นการเสริมพอร์ตเพิ่มเป็น *597,325 BTC* ซึ่งคิดเป็นมูลค่ากว่า *636,000 ล้านดอลลาร์* (ราว 88.5 ล้านล้านวอน)
ในปีนี้เพียงปีเดียว ไมโครสตรีเมจีสร้างผลตอบแทนจากบิตคอยน์แล้วถึง 19.7% โดย ‘กลยุทธ์การซื้อสะสมเชิงรุก’ ถือเป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จครั้งนี้ ความเคลื่อนไหวที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า เซย์เลอร์ตัดสินใจลงทุนแบบต่อเนื่อง โดยครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงหลังคือการเข้าซื้อ 10,100 BTC คิดเป็นมูลค่ากว่า *1.4 ล้านล้านวอน*
ด้านเมต้าแพลนเน็ต (Metaplanet) บริษัทจากญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจคล้ายกัน ก็ยังคงใช้กลยุทธ์การซื้อรายสัปดาห์ต่อเนื่อง โดยล่าสุดเพิ่งเพิ่มการถือครองอีก 1,005 BTC (ประมาณ 140,000 ล้านวอน) ทำให้ยอดรวมเพิ่มขึ้นเป็น *13,350 BTC* ขณะที่บริษัทตั้งเป้าจะถือบิตคอยน์ถึง *210,000 BTC ภายในปี 2027* พร้อมเดินหน้าออกหลักทรัพย์เพื่อระดมทุน เช่นเดียวกับกลยุทธ์ของเซย์เลอร์
ท่ามกลางการเหวี่ยงตัวของราคาบิตคอยน์ใกล้ระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ การเคลื่อนไหวของทั้งสองบริษัทสะท้อน ‘ทิศทางแบบระยะยาว’ โดยถือครอง BTC เป็นทรัพย์สินป้องกันเงินเฟ้อ มากกว่าทำกำไรจากการเก็งกำไรในระยะสั้น
*ความคิดเห็น:* ท่าทีเหล่านี้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อพิจารณาจากความเป็นไปได้ที่ ‘ประธานาธิบดีทรัมป์’ จะกลับคืนสู่ทำเนียบขาว ส่งผลให้มีความหวังกับนโยบายที่เป็นมิตรต่อคริปโต เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความเชื่อมั่น และตอกย้ำสถานะของบิตคอยน์ในฐานะ ‘สินทรัพย์การลงทุนหลักระดับโลก’
ความคิดเห็น 0