Back to top
  • 공유 แชร์
  • 인쇄 พิมพ์
  • 글자크기 ขนาดตัวอักษร
ลิงก์ถูกคัดลอกแล้ว

อีเธอเรียม(ETH) ผงาดเป็นคลังสินทรัพย์ทางเลือกใหม่ ภาคธุรกิจแห่สะสมแทนบิตคอยน์(BTC)

อีเธอเรียม(ETH) ผงาดเป็นคลังสินทรัพย์ทางเลือกใหม่ ภาคธุรกิจแห่สะสมแทนบิตคอยน์(BTC) / Tokenpost

อีเธอเรียม(ETH) กำลังได้รับความสนใจในฐานะ ‘คลังสินทรัพย์’ แห่งใหม่จากภาคธุรกิจ ขณะที่กลยุทธ์แบบบิตคอยน์(BTC) ที่เคยเป็นศูนย์กลางเริ่มถูกแทนที่ด้วยการสะสมอีเธอเรียมในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น โดยหลายบริษัทเริ่มดำเนินกลยุทธ์คลังสินทรัพย์แบบของตัวเอง หรือที่เรียกว่า ‘ETH Treasury Strategy’

เอริก คอนเนอร์(Eric Conner) อดีตนักพัฒนาอีเธอเรียม ระบุผ่านแพลตฟอร์ม X เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า “อีเธอเรียมกำลังก้าวเข้าสู่ยุคไมโครสเตรเทจีด้วยตัวเอง” โดยเขายกตัวอย่างบริษัทที่ตัดสินใจถือครอง ETH ในฐานะสินทรัพย์หลักของกลยุทธ์ทางการเงิน ได้แก่ บิตไมน์(BitMine) ของ ทอม ลี(Tom Lee) และชาร์พลิงก์(SharpLink) บริษัทเกมที่มี โจ รูบิน(Joe Lubin) จากคอนเซนซิสเป็นผู้ก่อตั้ง

บิตไมน์เพิ่งแต่งตั้ง ทอม ลี ผู้ร่วมก่อตั้งฟันด์สแตรท เป็นประธานบริษัท พร้อมเปิดเผยว่าได้ระดมทุนแบบ private placement สูงสุดถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,475 พันล้านวอน) สำหรับใช้ในการซื้ออีเธอเรียม หลังการประกาศ หุ้นของบิตไมน์พุ่งขึ้นเกือบ 400% ทั้งยังเผยแผนสร้างรายได้ผ่าน *การวางเดิมพัน* หรือ *Staking* อีเธอเรียม พร้อมใช้โมเดล ‘ETH Per Share’ เพื่อรายงานจำนวน ETH ที่ถือครองต่อหุ้นอย่างสม่ำเสมอในแต่ละสัปดาห์

ทอม ลี มองว่า การเปลี่ยนผ่านจากโลกการเงินแบบดั้งเดิมสู่ระบบ *on-chain* จะช่วยเพิ่มความต้องการใช้อีเธอเรียม โดยระบุว่า “สเตเบิลคอยน์คือ ChatGPT ของวงการคริปโต ที่เร่งการยอมรับระบบธุรกรรมและการชำระเงินอย่างก้าวกระโดด” พร้อมเสริมว่า “ในอนาคต ธนาคารจะทำการเดิมพันอีเธอเรียมด้วยตัวเอง และใช้มันเป็นรากฐานในการออกสเตเบิลคอยน์”

ด้านชาร์พลิงก์ของ โจ รูบิน เลือกวิธีที่ดุดันกว่า ด้วยการระดมทุนมหาศาลถึง 425 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5,908 พันล้านวอน) เพื่อนำไปซื้อ ETH หลังจากนั้นจึงถือครองระยะยาวและทำ Staking เป็นยุทธศาสตร์หลัก ซึ่งเอริก คอนเนอร์ให้ความเห็นว่า ทั้งสองบริษัทนี้จะกลายเป็นผู้นำแห่งยุคใหม่ของอีเธอเรียมคลังสินทรัพย์ โดยชี้ว่า “ภาคธุรกิจกำลังตื่นตัวกับศักยภาพของอีเธอเรียมในฐานะแหล่งรายได้และสินทรัพย์สำรองในเวลาเดียวกัน”

กระนั้น สถานการณ์ตลาดยังไม่ตอบรับในทันที โดยราคาของอีเธอเรียมในตลาดเอเชีย ร่วงลงราว 2.3% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า ลงต่ำกว่า 2,400 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 333 ล้านบาท) อีกครั้ง แม้เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมจะเคยทะลุ 2,200 ดอลลาร์ได้ก็ตาม ราคาที่ขยับแคบตลอดช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่า ETH กำลัง “นิ่งจนน่ากังวลเหมือนสเตเบิลคอยน์”

*ความคิดเห็น* แม้ตลาดยังไม่แสดงความร้อนแรงชัดเจน แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าโมเดลคลังสินทรัพย์แบบอีเธอเรียมจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่กลยุทธ์ของบริษัทเคยผูกติดอยู่กับบิตคอยน์ อีเธอเรียมจึงมีโอกาสสร้างพื้นที่ระยะยาวผ่านการใช้งานในระดับองค์กรที่หลากหลายและจริงจังมากขึ้น

<ลิขสิทธิ์ ⓒ TokenPost ห้ามเผยแพร่หรือแจกจ่ายซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต>

บทความที่มีคนดูมากที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น 0

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม

0/1000

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม
1