แม้ราคาของอีเธอเรียม(ETH)จะยังไม่พุ่งแรงนักในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เครือข่ายของมันกลับส่งสัญญาณ ‘แข็งแกร่งอย่างเงียบๆ’ โดยปริมาณข้อมูลภายในบล็อกเชนในเดือนมิถุนายนสร้างสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่ตลาดคริปโทะโดยรวมก็ได้รับแรงหนุนจากข่าวเชิงบวก เช่น ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนาม รวมถึงการขยายตัวของปริมาณเงิน M2 ซึ่งส่งผลให้อีเธอเรียมราคาพุ่งขึ้นกว่า 6% ภายในเวลา 24 ชั่วโมง ทะลุระดับ 2,600 ดอลลาร์ หรือราว 362 ล้านบาท
ตามข้อมูลของ CryptoQuant เมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน ปริมาณอีเธอเรียมที่ถูกสะสมใน ‘กระเป๋าเก็บระยะยาว’ (ซึ่งไม่รวมกระเป๋าจากศูนย์กลางซื้อขาย) พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 22.746 ล้าน ETH เพิ่มขึ้นกว่า 36% จากวันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งอยู่ที่ 16.728 ล้าน ETH ระหว่างเดือนเดียวกันนั้น กระเป๋าเหล่านี้ได้เข้าซื้อสุทธิเพิ่มอีก 6.018 ล้าน ETH ถือเป็นปริมาณการซื้อประจำเดือนสูงสุดที่เคยมีมา โดยมี ‘ต้นทุนเฉลี่ย’ อยู่ที่ 2,114 ดอลลาร์ต่อเหรียญ หรือประมาณ 294,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาในวันที่ 2 กรกฎาคมที่ระดับ 2,565 ดอลลาร์ ถึงประมาณ 21% เมื่อเทียบเป็น ‘กำไรที่ยังไม่ขาย’
กิจกรรมด้านการ ‘สเตก’ (Staking) บนเครือข่ายอีเธอเรียมก็เติบโตต่อเนื่องอย่างน่าจับตา ปริมาณ ETH ที่ถูกนำไปล๊อกไว้ในกลไกสเตก แบบมีสภาพคล่อง ปรับเพิ่มจาก 34.546 ล้าน ETH สู่ 35.526 ล้าน ETH ภายในเดือนเดียว เพิ่มขึ้นเกือบ 1 ล้าน ETH ถือเป็นตัวเลขระดับ ‘เดือนที่สูงที่สุด’ เท่าที่เคยมีมา และในวันที่ 1 กรกฎาคม ปริมาณรวมของ ETH ที่ถูกล๊อกไว้เพื่อสเตกแตะระดับสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ 35.564 ล้าน ETH แสดงให้เห็นถึงแรงสนับสนุนจากสถาบันการเงิน บรรดากองทุน ETF และผู้ถือครองรายใหญ่ ที่เริ่มใช้แพลตฟอร์มสเตกชื่อดังอย่าง ‘ไลดา’ และ ‘ไบแนนซ์ ETH’ มากขึ้น ทำให้โปรโตคอลเหล่านี้กลายเป็นผู้รับผลประโยชน์หลัก
ด้วยเหตุนี้ CryptoQuant จึงมองว่าสัญญาณจาก ‘การสะสม’ และ ‘การสเตก’ เหล่านี้ แสดงให้เห็นถึง ‘ความเชื่อมั่นระดับสถาบัน’ ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น แม้ราคาจะยังแกว่งตัว ‘ความคิดเห็น’ แต่แนวโน้มการสะสมอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าตลาดภายในอาจกำลังเตรียมพร้อมสำหรับช่วงขาขึ้นในอนาคต
ในอีกด้านหนึ่ง อีเธอเรียมยังเริ่มได้รับความสนใจในฐานะ ‘สินทรัพย์ยุทธศาสตร์’ ของบริษัทต่างๆ ล่าสุด CryptoPotato รายงานว่าหลายบริษัทเริ่มเปลี่ยนนโยบายการลงทุน นำสินทรัพย์บางส่วนไปถือในรูปแบบ ETH ซึ่งมีผู้วิเคราะห์มองว่าสิ่งนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของ ‘ยุคอีเธอเรียมเวอร์ชันไมโครสแตรทีจี’
บริษัท SharpLink วางแผนจะเข้าซื้อ ETH มูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3,475 ล้านบาท พร้อมวางแผนใช้โมเดล ‘หุ้นค้ำประกัน ETH’ ในการดำเนินกลยุทธ์ทางการเงิน ขณะที่หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งของบริษัทโจ รูบินได้ยืนยันว่าตนเองเตรียมระดมทุนอีก 425 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 5,900 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในการซื้อและสเตก ETH โดยเฉพาะ
ด้านนักวิเคราะห์ด้านการเงินอย่างทอม ลี มองว่า การใช้งานสเตเบิลคอยน์ และการเติบโตของระบบการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) จะยิ่งผลักดัน ‘มูลค่าพื้นฐานของอีเธอเรียม’ ให้ได้รับการยอมรับมากขึ้น และมีบทบาทเพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจยุคใหม่
แม้ว่าแนวโน้มราคาจะยังไม่ชัดเจนในระยะสั้น แต่ด้วยคลื่นสัญญาณที่สะสมอยู่ในบล็อกเชนและแรงลงทุนจากสถาบันที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งตอกย้ำความเป็นไปได้ที่ *อีเธอเรียม* กำลังก้าวเข้าสู่บทบาทของ ‘สินทรัพย์โครงสร้างหลัก’ แห่งอนาคตอย่างมั่นคง
ความคิดเห็น 0