‘One Big Beautiful Bill’ เข้าสู่ระบบกฎหมายสหรัฐอย่างเป็นทางการ หลังประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามเมื่อไม่นานนี้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินดิจิทัลครั้งใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐ โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงนโยบายลดภาษีหรือกระตุ้นเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังกำหนดรากฐานในยุค *ดอลลาร์ดิจิทัล* อย่างเต็มรูปแบบ
ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐมีอำนาจในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอย่างกระเป๋าเงินดิจิทัล ระบบชำระเงินเรียลไทม์ และระบบจ่ายเงื่อนไขพิเศษให้หน่วยงานสำคัญ เช่น สรรพากร (IRS), กรมการเคหะและพัฒนาเมือง (HUD) และกระทรวงคมนาคม (DOT) คาดว่ารูปแบบการจ่ายเงิน เช่น การคืนภาษีหรือเงินสงเคราะห์ตามการยืนยันตัวตน จะเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลโดยสมบูรณ์ ซึ่งเท่ากับว่าคนอเมริกันจำนวนมากจะถูกดึงเข้าสู่ระบบ *ดอลลาร์ดิจิทัล* ทั้งทางตรงและทางอ้อมในเร็วๆ นี้
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า ระบบนี้อาจกลายเป็น ‘เครื่องจักรกระตุ้นการบริโภคในรูปแบบการควบคุมทางการเงินดิจิทัล’ ด้วยโครงสร้างที่เน้นความสะดวกและสิทธิประโยชน์เพื่อล่อใจผู้ใช้ แต่อยู่ภายใต้ระบบควบคุมกลางที่เชื่อมโยงข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคและประวัติเครดิตอย่างสมบูรณ์ นั่นคือ *การเปลี่ยนเงินตราให้เป็นเครื่องมือของรัฐ*
หน่วยงานหลักต่างๆ เริ่มขยับเตรียมรับมือแล้ว โดยมีความเป็นไปได้ที่ระบบคืนภาษีหรือจ่ายสวัสดิการผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลจะเริ่มทดสอบใช้งานจริงภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยระบบชำระเงินเรียลไทม์ (RTP) และแพลตฟอร์มที่รองรับเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) จะเป็นกลไกสำคัญของเฟสแรก
เบื้องหลังการเดินหน้ากฎหมายนี้ ยังสะท้อนเจตนาทางการเมืองในการกอบกู้ปัญหาหนี้สาธารณะและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทรัมป์ผลักดันให้กฎหมายนี้กลายเป็น *New Deal ดิจิทัล* ที่ผสานการเติบโตทางเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้น และเทคโนโลยีล้ำหน้าเข้าด้วยกัน
การเคลื่อนไหวนี้ส่งผลอย่างไม่อ้อมต่อ *ตลาดคริปโต* โดยอาเธอร์ เฮย์ส(Arthur Hayes) ผู้เชี่ยวชาญด้านบิตคอยน์(BTC) เตือนว่าอาจเกิดภาวะสภาพคล่องตึงตัวในระยะสั้นหลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้ และราคาบิตคอยน์อาจปรับฐานลงมาถึง 90,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.25 ล้านบาท) แต่ *ความคิดเห็น* ของเขาชี้ว่า นี่อาจเป็นจุดตั้งต้นของช่วงเวลา ‘ทองคำแห่งการลงทุน’ ในระยะยาว
กฎหมาย ‘One Big Beautiful Bill’ แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลสหรัฐไม่เพียงแต่กำลังวางโครงสร้าง *ระบบการเงินดิจิทัลแห่งชาติ* แต่ยังเล็งถึง *ตำแหน่งผู้นำในระบบการเงินระดับโลก* อีกด้วย แวดวงการเงินทั่วโลกจึงต่างจับตาว่า ทิศทางใหม่นี้จะเปลี่ยนเกมอำนาจของเงินตราในศตวรรษที่ 21 อย่างไร
ความคิดเห็น 0