หลังจากที่ *บิตคอยน์(BTC)* พุ่งกลับขึ้นมาใกล้ระดับ 120,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 4.3 ล้านบาท นักลงทุนต่างหันมาจับตาแนวต้านถัดไปที่ระดับ 130,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 4.7 ล้านบาท) และ 150,000 ดอลลาร์ (ราว 5.4 ล้านบาท) โดยผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปัจจัยทางเทคนิค สภาพแวดล้อมเชิงนโยบาย และการขยายตัวของฐานผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง กำลังช่วยกันสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการเติบโตระยะยาวของ *บิตคอยน์*
ปัจจัยสำคัญที่จุดกระแสราคาครั้งนี้ เกิดขึ้นในคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เมื่อเกิดสถานการณ์ ‘*ชอร์ตสควีซ*’ ในตลาดฟิวเจอร์ส ส่งผลให้มีการล้างสถานะ(open positions) มูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาททั่วทั้งตลาด และทำให้ *บิตคอยน์* ทะลุระดับ 120,000 ดอลลาร์ชั่วคราว อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์เตือนว่า การยืนเหนือระดับนี้อย่างมั่นคง จำเป็นต้องมีแรงซื้อจากตลาดสปอตเข้ามาสนับสนุนเป็นวงกว้าง
เรย์ แซลมอนด์ หัวหน้าฝ่ายตลาดของ Cointelegraph กล่าวว่า แม้ในตลาดแบบรวมศูนย์จะมองเห็นความต้องการชัดเจนได้ยาก แต่หากดูจาก *ความต้องการผ่าน ETF ของบิตคอยน์*, *การสะสมสินทรัพย์ BTC ของบริษัทจดทะเบียน*, และ *การสร้างโครงสร้างพื้นฐานของ BTC โดยภาคธุรกิจต่างๆ* จะเห็นได้ชัดว่ามีการเก็บสะสมอย่างต่อเนื่องในตลาดจริง
ในระยะสั้น ตลาดได้รับแรงกดดันจากข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่เพิ่งประกาศออกมา รวมถึง *นโยบายภาษีนำเข้าใหม่* ที่ประกาศโดย *ทรัมป์* ซึ่งสร้างความกังวลให้กับตลาดชั่วคราว อย่างไรก็ตาม หลังจากตลาดได้มีเวลาย่อยข้อมูลนโยบายดังกล่าวซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม ความวิตกก็ได้ลดลงอย่างรวดเร็ว
ทีมวิจัยจาก Cointelegraph ให้ความเห็นว่า ระดับ *บิตคอยน์ 150,000 ดอลลาร์ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป* โดยอ้างอิงจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ ETF และข้อมูลจากบล็อกเชนที่สนับสนุนการเติบโต พร้อมเสริมว่า หากแนวโน้มการนำไปใช้ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ *นโยบายเศรษฐกิจแบบขยายตัวของทรัมป์* มีผลบังคับจริง ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เป้าหมายราคากลางถึงยาวของ *BTC จะทะลุ 150,000 ดอลลาร์* ได้ในอนาคตอันใกล้
ความคิดเห็น 0