อีเธอเรียม(ETH) กำลังได้รับการจับตามองมากขึ้นในฐานะ ‘ทรัพย์สินสำรอง’ ของเศรษฐกิจดอลลาร์ดิจิทัล หลังจากราคาปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อีเธอเรียมพุ่งขึ้นเกือบ 23% แซงหน้าบิตคอยน์(BTC) ที่เพิ่มขึ้นราว 13% และสูงกว่าการเติบโตเฉลี่ยของตลาดคริปโตที่อยู่ที่ประมาณ 10% อย่างไรก็ตาม แม้ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 3,400 ดอลลาร์ (ประมาณ 4.72 ล้านบาท) แต่ก็ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดในเดือนพฤศจิกายน 2021 ที่ระดับ 4,855 ดอลลาร์ (ประมาณ 6.74 ล้านบาท) ขณะที่บิตคอยน์ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ไปแล้ว ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า *อีเธอเรียมยังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกมาก*
ในตลาดคริปโต แต่ละรอบขาขึ้นมักมี ‘เรื่องราว’ หรือ *การสร้างภาพรวมที่ดึงดูดความสนใจ* เช่นเดียวกับในปี 2021 ที่อีเธอเรียมได้รับแรงส่งจากกระแส NFT และดีไฟแนนซ์(DeFi) แต่ทุกวันนี้ กระแสดังกล่าวไม่เพียงพอที่จะสร้างความตื่นเต้นอีกต่อไป *อีเธอเรียมกำลังขยับเข้าหาโลกการเงินแบบดั้งเดิม (TradFi)* โดยกลายเป็นแกนกลางของระบบสเตเบิลคอยน์และการโทเคนทรัพย์สินจริง (RWA) ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทใหม่ในฐานะ ‘น้ำมันดิจิทัล’ และ *เครื่องเก็บมูลค่า* ที่ไม่ได้จำกัดแค่การเป็นโทเคนเพื่อจ่ายค่าธรรมเนียม
ตามรายงานจากบริษัทวิจัยด้านบล็อกเชน *อิเล็กทริก แคปิตัล* เผยว่า อีเธอเรียมมี ‘ส่วนแบ่งชัดเจน’ ในตลาดสเตเบิลคอยน์ โดยกว่า 54% ของสเตเบิลคอยน์ในตลาดหมุนเวียนอยู่บนอีเธอเรียม นับตั้งแต่ปี 2020 การนำสเตเบิลคอยน์มาใช้งานจริงเติบโตขึ้นกว่า 60 เท่า และมูลค่ารวมทะลุ 200,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 278 ล้านล้านบาท) ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มสเตเบิลคอยน์แบบให้ผลตอบแทน (interest-bearing stablecoins) ยังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.56 แสนล้านบาท)
อิเล็กทริก แคปิตัล ระบุว่า *คุณสมบัติ 3 ประการในการเป็นแพลตฟอร์มสเตเบิลคอยน์ที่ประสบความสำเร็จได้แก่ “การเข้าถึงระดับโลก”, “ความปลอดภัยระดับสถาบัน” และ “ความเป็นกลางทางการเมือง”* ซึ่งอีเธอเรียมเป็นแพลตฟอร์มเดียวที่สามารถตอบโจทย์ได้ครบ ทั้งนี้ โครงการทรอน(TRON) มีส่วนแบ่งตามมาอยู่ที่ 32% แต่ปัญหาด้านค่าธรรมเนียมที่เริ่มเพิ่มขึ้นตามปริมาณการใช้งาน กำลังส่งผลให้จุดขายด้าน ‘ต้นทุนต่ำ’ ของทรอนเริ่มลดลง ในทางกลับกัน *อีเธอเรียมประสบความสำเร็จในการลดค่าธรรมเนียมผ่านแนวทาง L2 scaling และการอัปเกรดเครือข่าย* ซึ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะในฐานะ *โครงสร้างพื้นฐานหลักของดอลลาร์ดิจิทัล*
ด้านบริษัทจัดการลงทุน *ฟิเดลิตี* มองว่าอีเธอเรียมกำลังกลายเป็น ‘เศรษฐกิจดิจิทัลที่มีอำนาจอธิปไตยในตัวเอง’ (sovereign digital economy) ซึ่ง ETH ไม่ได้เป็นเพียงโทเคนที่ใช้จ่ายค่าธรรมเนียมบนเครือข่ายอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็น *สินทรัพย์ยุทธศาสตร์ในระบบเศรษฐกิจการเงิน*
ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงต่างวิเคราะห์ว่า การที่ค่าธรรมเนียมของ ETH ลดลง *ไม่ใช่แค่ความสามารถในการแข่งขัน* แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์การผสานระบบกับ L2 เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้ใช้จำนวนมาก ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้อาจเป็นฐานสำคัญของ *การยอมรับในวงกว้าง* และปูทางให้ ETH กลายเป็นสินทรัพย์ที่มี *ศักยภาพการเติบโตของมูลค่าในระยะยาว* ได้อย่างแข็งแกร่ง
ความคิดเห็น 0