บิตคอยน์(BTC) ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบราคาที่แคบมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ส่งผลให้บรรยากาศตลาดดูนิ่งเงียบและไร้แรงกระตุ้น อย่างไรก็ตาม เหล่าผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าความนิ่งในลักษณะนี้อาจเป็น ‘จุดเปลี่ยนสำคัญ’ ที่จะพลิกทิศทางราคาอย่างฉับพลันในไม่ช้า
เมื่อวันที่ 30 (เวลาท้องถิ่น) บิตคอยน์มีมูลค่าซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 118,300 ดอลลาร์ หรือราว 1.64 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.2% ในรอบสัปดาห์ โดยราคายังคงแกว่งอยู่ระหว่าง 116,800 ดอลลาร์ถึง 119,500 ดอลลาร์ สถานการณ์นี้ทำให้นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในวันเดียวกันว่าจะส่งผลต่อแนวโน้มการเงินและทิศทางตลาดคริปโตอย่างไร
นักวิเคราะห์ด้านคริปโตชื่อดัง มิกาเอล ฟาน เดอ ป็อป(Michaël van de Poppe) กล่าวถึงสถานการณ์ล่าสุดว่า "น่าเบื่อสุด ๆ" พร้อมระบุว่ายังไม่พบ ‘สัญญาณการเปลี่ยนเทรนด์’ อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าความเคลื่อนไหวในกรอบนี้ อาจเป็น ‘สัญญาณล่วงหน้า’ ของการเบรกออกอย่างรุนแรงไม่ว่าจะขึ้นหรือลง โดยหากราคาทะลุระดับ 119,500 ดอลลาร์ อาจกลับไปทดสอบจุดสูงสุดเดิม แต่หากหลุดแนวรับ เขาประเมินว่าระดับ 110,000-112,000 ดอลลาร์ อาจกลายเป็นโซนรับแรงซื้อของนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม ตลาดโดยรวมยังไม่สามารถกำหนดทิศทางที่ชัดเจนได้ จากข้อมูล ‘ฮีตแมโครเฟส’ ของบริษัทวิจัยคริปโตคริปโตควอนต์(CryptoQuant) พบว่าตัวชี้วัดดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 44% ซึ่งสื่อว่าตลาดอยู่ใน ‘ภาวะเป็นกลาง’ ตัวชี้วัดนี้อ้างอิงจากการเคลื่อนไหวของนักลงทุนระยะยาว ปริมาณซื้อขายจาก ETF และการเก็งกำไร โดยหากเข้าใกล้ 50% จะสะท้อน ‘ความร้อนแรงของตลาด’
นักวิเคราะห์อีกคนที่ชื่อว่า คริปโต แดน(Crypto Dan) สังเกตว่า หลังจากเกิดสัญญาณตลาดร้อนในช่วงก่อนหน้า ความเคลื่อนไหวของราคาเริ่มอ่อนแรง โดยเฉพาะปริมาณการเคลื่อนย้ายบิตคอยน์ที่ถือครองในช่วงไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสะท้อนว่า ‘โมเมนตัมการฟื้นตัวของราคานั้นไม่รุนแรงนัก’
ขณะเดียวกัน จัวง เวดสัน(Joao Wedson) นักวิเคราะห์ข้อมูลออนเชนให้ข้อมูลว่า ‘กระเป๋าเงินที่ถือครอง BTC มากกว่า 10,000 เหรียญ’ มีจำนวนลดลงต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้คล้ายคลึงกับพฤติกรรมในช่วงปลายตลาดกระทิงเมื่อปี 2020–2021 เขามองว่าสิ่งนี้อาจเป็น ‘สัญญาณของจุดสิ้นสุดวัฏจักรขาขึ้นของบิตคอยน์’
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ช่วงเวลาที่บิตคอยน์กำลังนิ่งเงียบนี้อาจใกล้ถึงจุดสิ้นสุด และ ‘การเบรกออกอย่างรุนแรงในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง’ อาจใกล้เข้ามา โดยปัจจัยหลักที่จะกำหนดทิศทางในระยะถัดไป ได้แก่ ‘นโยบายอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ’ ‘การเคลื่อนไหวของนักลงทุนสถาบัน’ และ ‘พฤติกรรมของผู้ถือครองรายใหญ่’ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามในตลาดที่เปราะบางเช่นนี้
ความคิดเห็น 0