ความเป็นไปได้ที่ประเทศต่าง ๆ จะนำ ‘บิตคอยน์(BTC)’ มาใช้งานในระดับรัฐไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดอีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเริ่มขยับตัวนำคริปโตเคอร์เรนซีโดยเฉพาะ ‘บิตคอยน์’ และ ‘สเตเบิลคอยน์’ มาใช้เป็น *สินทรัพย์เชิงกลยุทธ์* เพื่อรับมือกับข้อจำกัดของระเบียบเศรษฐกิจโลก ระบบอัตราแลกเปลี่ยน และความผันผวนจากระบบการเงินที่ยึดโยงกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุด *ปากีสถาน* ได้ประกาศเข้าสู่เฟสเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดตั้ง *กองทุนสำรองบิตคอยน์* อย่างเป็นทางการ
เมื่อวันที่ 24 เว็บไซต์ Cryptonews รายงานว่า ‘คณะกรรมการคริปโตแห่งชาติปากีสถาน’ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ได้ประกาศจัดตั้ง *กองทุนสำรองบิตคอยน์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Bitcoin Reserve)* อย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องกันแรงกดดันทางเศรษฐกิจอันเกิดจากเงินเฟ้อระดับสูง (CPI) และการพึ่งพาระบบเงินดอลลาร์เกินไป ประเทศที่มีประชากรกว่า 240 ล้านคนและมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ราว 1.7 ล้านล้านบาทนี้เชื่อว่าทางเลือกนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ จุดน่าสนใจคือ *ไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor)* ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครสเตรทจี(MicroStrategy) ได้ออกมาแสดงความสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว
การเดินหมากทางการเงินเช่นนี้มีนัยสำคัญ เนื่องจากก่อนหน้านี้ปากีสถานมักถูกมองว่าเป็นประเทศหัวอนุรักษนิยมในแง่การบริหารนโยบายเศรษฐกิจ การหันมาใช้ *บิตคอยน์* เป็นสินทรัพย์สำหรับการปรับโครงสร้างระบบการเงินจึงถือเป็นการเปลี่ยนกรอบความคิดครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับกรณีของ *เอลซัลวาดอร์* ที่เคยรับรองบิตคอยน์เป็นเงินถูกกฎหมาย การยอมรับคริปโตจึงไม่เพียงเพื่อการเก็บมูลค่า แต่เพื่อสร้างรูปแบบใหม่ของการบริหารเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
กระแสการพูดถึง *กองทุนสำรองบิตคอยน์เชิงกลยุทธ์* เริ่มลามไปยังหลายประเทศ ได้แก่ *บราซิล, ญี่ปุ่น, รัสเซีย และจีน* ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศ *นอกระบอบดอลลาร์ (Non-dollar bloc)* และต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อสูง หรือควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราอย่างเข้มงวด การสร้างระบบสำรองด้วย *สินทรัพย์ดิจิทัล* ถูกมองว่าอาจเป็นเครื่องมือฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว
‘บิตคอยน์’ และ ‘สเตเบิลคอยน์’ ยังสามารถเป็น *เส้นทางการชำระเงินทางเลือก* สำหรับประเทศที่ถูกคว่ำบาตรหรือเข้าถึงตลาดเงินโลกได้น้อย ระบบ *บล็อกเชน* ที่มีลักษณะเปิดและต้านการเซ็นเซอร์มีศักยภาพในการสร้าง *ระบบการเงินอิสระ* นอกเหนือจากเครือข่ายดั้งเดิมอย่าง SWIFT ตัวอย่างเช่น *ภูฏาน* ที่ตัดสินใจถือครองบิตคอยน์เชิงรุกและมีการใช้คริปโตใน *การค้าระหว่างพื้นที่บางส่วนแล้ว*
เคสของ *เอลซัลวาดอร์* ชี้ให้เห็นถึงผลข้างเคียงเชิงบวก เช่นการดึงดูด *สตาร์ทอัพคริปโตและส่งเสริมการท่องเที่ยว* ปากีสถานจึงหวังว่า ‘กองทุนสำรองบิตคอยน์’ จะช่วยผลักดัน *การลงทุนจากต่างประเทศและการปฏิรูประบบการเงิน* ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เชื่อว่านี่อาจนำไปสู่การลดความยากจนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่เป้าหมายระยะยาว
ยิ่งไปกว่านั้น คริปโตยังมีความหมายในฐานะเครื่องมือสร้าง *การเข้าถึงทางการเงิน* สำหรับประชากรที่ไม่มีบัญชีธนาคาร (unbanked) ผ่าน *กระเป๋าเงินดิจิทัลบนสมาร์ตโฟน* และสามารถยกระดับการโอนเงินกลับประเทศ สำหรับชาวปากีสถานในต่างแดน ผ่านสเตเบิลคอยน์ ทำให้ต้นทุนต่ำลงและรวดเร็วขึ้น ส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศ
แต่อย่างไรก็ตามการใช้คริปโตเป็นนโยบายสาธารณะไม่ได้ไร้ความเสี่ยง ราคาของสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงมี *ความผันผวนสูง* การนำเงินรัฐมาวางในคริปโตจึงต้องผ่านกระบวนการตัดสินใจอย่างรอบคอบ พร้อมด้วยฉันทามติในระดับ *การเมืองและสังคม* และระบบบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด ทั้งหมดนี้ต้องวางอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจชาติที่ส่งผลเชิงบวกต่อประชาชนอย่างแท้จริง
*ความคิดเห็น*: แม้คริปโตจะไม่ใช่คำตอบครอบจักรวาล แต่ความพยายามของประเทศกำลังพัฒนาในการออกจากกรอบดั้งเดิมของการเงินโลก เป็นสิ่งที่ควรจับตามอง การใช้ *บิตคอยน์ที่มีความหายาก สภาพคล่องสูง และลักษณะแบบกระจายอำนาจ* สำหรับการจัดการสำรองภาครัฐ อาจกลายเป็นหมากสำคัญที่เปลี่ยนโฉมหน้าของภูมิรัฐศาสตร์การเงิน โลกในอนาคตอาจแบ่งออกเป็นสองขั้ว: ประเทศที่มี ‘ยุทธศาสตร์คริปโต’ กับประเทศที่ยังยึดติดกับโครงสร้างเดิม ใครมาก่อน อาจกำหนดบทบาทในระเบียบเศรษฐกิจโลกยุคใหม่.
ความคิดเห็น 0