ตลาดบิตคอยน์(BTC) กำลังเข้าสู่ ‘จุดเปลี่ยนสำคัญ’ ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายที่เริ่มตึงเครียด โดยดัชนีเฉลี่ยกำไรขาดทุนของผู้ถือครองระยะสั้น (STH-SOPR) เคลื่อนไหว ‘ทรงตัวบริเวณระดับ 1.0’ สะท้อนถึงความลังเลของนักลงทุน ขณะเดียวกัน แรงซื้อจากฝั่งตรงข้ามเต็มพิกัด ทั้งฝั่ง ‘การเก็งกำไรที่ใช้เลเวอเรจสูง’ และฝั่งของ ‘การสะสมเหรียญระยะยาวโดยสถาบัน’ ทำให้เกิดภาวะ ‘แรงซื้อน้ำหนักสองขั้ว’ ดันความเสี่ยงการเคลื่อนไหวของราคาฉับพลันเพิ่มสูงขึ้น
ตามรายงานของบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลบล็อกเชน คริปโตควอนต์(CryptoQuant) เมื่อวันที่ 24 ค่า STH-SOPR เคยลดต่ำลงมาใต้ระดับ 1.0 ในช่วงต้นปี 2023 บ่งชี้ภาวะตลาดหมี แต่ช่วงต้นปี 2024 ค่าเดียวกันพุ่งแตะระดับ 1.2 สะท้อนการทำกำไรของนักลงทุน ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ทะลุ 70,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 9.73 ล้านบาท) จากนั้น ดัชนีเริ่มผันผวนใกล้ระดับ 1.0 อีกครั้ง เข้าสู่ภาวะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ ‘รอดูทิศทางตลาด’
ขณะนี้ราคาบิตคอยน์ซื้อขายอยู่ที่ราว 113,600 ดอลลาร์ (ประมาณ 15.78 ล้านบาท) โดยหาก STH-SOPR ผ่านระดับ 1.0 ได้อย่างชัดเจน จะบ่งชี้ว่าผู้ถือสินทรัพย์ระยะสั้นยังสามารถทำกำไรโดยไม่ลดแรงซื้อลง ซึ่งอาจสร้างเงื่อนไขให้ราคาดันขึ้นแตะระดับ 120,000 - 130,000 ดอลลาร์ (ราว 16.68 - 18.07 ล้านบาท) ได้ แต่ในทางกลับกัน หากตัวชี้วัดหล่นต่ำกว่า 1.0 แรงขายตัดขาดทุนอาจเร่งตัว ดันราคาถอยร่วงกลับสู่ช่วง 95,000 - 100,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 13.2 - 13.9 ล้านบาท)
ในสถานการณ์ที่เข้าขั้น ‘คอขวด’ นี้ ปรากฏโครงสร้างคู่ขนานระหว่าง ‘ฝั่งเก็งกำไรหนัก’ และ ‘ฝั่งสะสมเพื่อการลงทุนจริง’ โดยข้อมูลของคริปโตควอนต์ระบุว่า มูลค่ารวมของ ‘สถานะเปิดสัญญา (Open Interest)’ ในตลาดอนุพันธ์พุ่งทะลุ 40,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 5.56 ล้านล้านบาท) ใกล้จุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ ขณะเดียวกัน ค่า Funding Rate ก็เคลื่อนไหวเป็นขาขึ้น สะท้อนการเร่งเปิดสถานะ Long ซึ่งถ้าราคาปรับฐาน ลงแรงเมื่อไร อาจนำไปสู่ ‘การล้างพอร์ตเป็นลูกโซ่’ และเสี่ยงต่อลักษณะ ‘ร่วงเฉียบพลันระยะสั้น’
ในทางกลับกัน นักลงทุนสถาบันยังคง ‘แนวทางซื้อระยะยาว’ โดยมีการถือครองรวมกันกว่า 1.3 ล้าน BTC ผ่าน ETF และองค์กรต่างๆ ซึ่งกำลังทำหน้าที่เป็น ‘ฐานรองรับราคา’ ขณะที่บริษัทเหล่านี้มองบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ และไม่ตอบสนองต่อความผันผวนรายวัน
ตาม "ความคิดเห็น" ของผู้เชี่ยวชาญ บทสรุปของแนวโน้ม SOPR ที่ ‘ทรงตัวใกล้ระดับกลาง’ จะเป็นตัวชี้ขาดว่าแนวโน้มใหญ่จะไปทางใด ความไม่สมดุลระหว่างฝั่ง Leverage และฝั่งอุปสงค์จริง อาจเป็นตัวจุดชนวนให้เกิด ‘ความผันผวนอย่างรุนแรง’ โดยบรรยากาศตลาดในช่วงนี้ อาจยังคงความนิ่งเหมือน ‘ก่อนพายุ’ แต่เมื่อถึงจุดเปลี่ยน ทิศทางจะ ‘พุ่งขึ้นหรือร่วงลง’ อย่างรุนแรงแน่นอน
ความคิดเห็น 0