กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เตรียมนำข้อมูลสถิติเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขึ้นระบบ *บล็อกเชน* เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ถือเป็นแนวทางใหม่ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ และอาจกลายเป็นการปฏิวัติรูปแบบการใช้ ‘ข้อมูลเศรษฐกิจภาครัฐ’ อย่างสิ้นเชิง
ฮาวเวิร์ด ลูทนิค(Howard Lutnick) รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีล่าสุดที่กรุงวอชิงตันว่า “เราจะนำข้อมูล GDP ขึ้น *บล็อกเชน* เพราะทรัมป์คือ ‘ประธานาธิบดีสายคริปโต’” พร้อมเสริมว่า รัฐบาลกำลังหารือแนวทางการนำบล็อกเชนมาใช้ในระบบการจัดการข้อมูลของทั้งระบบรัฐ
ท่าทีดังกล่าวสะท้อนแนวนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ที่ให้ความสำคัญกับ *เทคโนโลยีบล็อกเชน* และความพยายามในการนำมาใช้จริงกับการจัดทำข้อมูลเศรษฐกิจ จุดแข็งสำคัญของเทคโนโลยีนี้คือความสามารถในการป้องกันการปลอมแปลงและการบิดเบือนข้อมูล ซึ่งช่วยให้ข้อมูลมีสถานะเป็นทรัพย์สินสาธารณะที่น่าเชื่อถือ
แผนการนี้เกิดขึ้นภายใต้การบริหารของทรัมป์ และอาจกลายเป็น *ต้นแบบครั้งแรกของการนำ Distributed Ledger Technology (DLT)* มาใช้ในภาครัฐของสหรัฐฯ โดยได้รับการผลักดันร่วมกับเดวิด แซกส์(David Sacks) ที่ปรึกษาด้านคริปโตประจำทำเนียบขาว แสดงให้เห็นว่าทำเนียบขาวได้วางแผนโครงการนี้ในเชิงกลยุทธ์อย่างชัดเจน
ลูทนิคยังแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายดอกเบี้ยในปัจจุบัน โดยระบุว่าอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานในขณะนี้กำลังเป็นภาระต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและผู้เสียภาษี ซึ่งสอดคล้องกับจุดยืนของทรัมป์ ประเด็นนี้ยังเชื่อมโยงกับคำกล่าวของเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่เพิ่งส่งสัญญาณสนับสนุนแนวนโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้นในการประชุมแจ็กสันโฮล ส่งผลให้ตลาดคริปโตพุ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
อีกหนึ่งประเด็นที่ได้รับความสนใจคือ การที่ทรัมป์ให้การสนับสนุนการปลด ลิซ่า คุก กรรมการของเฟด โดยลูทนิคถึงขั้นเรียกเธอว่า “นักต้มตุ๋นจำนอง” และกล่าวว่าทรัมป์ได้ลงนามในหนังสือปลดเธอด้วยตนเอง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการกดดันธนาคารกลาง ซึ่งเหตุการณ์นี้บ่งชี้ชัดถึง *แนวทางการเมืองการเงินของทรัมป์* ที่มีเป้าหมายชัดขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจและคริปโต
ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีกำหนดเปิดเผยข้อมูลปรับปรุง GDP ไตรมาส 2 ในวันพฤหัสบดีนี้ โดยข้อมูลฉบับใหม่นี้จะรวมถึงข้อมูลเพิ่มเติมที่ยังไม่เคยอยู่ในประมาณการก่อนหน้า ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสาขาแอตแลนตาคาดว่า GDP ไตรมาส 3 จะโตที่ระดับ 2.2% ซึ่ง *หากระบบบล็อกเชนในภาครัฐเริ่มต้นด้วยข้อมูล GDP* ก็อาจขยายผลไปสู่ดัชนีเศรษฐกิจอื่นๆ ได้ เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE)
*ความคิดเห็น:* การนำระบบ DLT มาใช้ในภาครัฐไม่เพียงแค่พัฒนาความโปร่งใส แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ถึงทิศทางทางเศรษฐกิจแบบใหม่ที่คริปโตจะกลายเป็นแกนกลางของนโยบายการเงินยุคถัดไป
ความคิดเห็น 0