ไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor) กลับมาเรียกความสนใจจากชุมชนคริปโตอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวแนวคิดใหม่ในโลกดิจิทัลที่ผสมผสานจินตนาการจากยุคโรมัน เขาปรากฏตัวในภาพถ่ายสไตล์โรมันโบราณ สวมชุดนักรบพร้อมแคปชั่น ‘Bitcoin Maximus’ บนโซเชียลมีเดีย กลายเป็นไวรัลที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าต่อ *บิตคอยน์(BTC)* และบทบาทของเขาในฐานะผู้ผลักดันภาพลักษณ์ใหม่ของสินทรัพย์คริปโต
การนำเสนอครั้งนี้มีจุดร่วมชวนให้นึกถึงอีลอน มัสก์(Elon Musk) ที่เพิ่งรีแบรนด์บัญชี X ของตนในเดือนพฤษภาคมเป็น 'Kekius Maximus' ซึ่งเป็นการหยิบยืมวัฒนธรรมมีมมาเล่นแบบขำขัน แม้มัสก์เปลี่ยนชื่อกลับในเวลาต่อมา แต่ก็สร้างกระแสเปรี้ยงปร้างในชุมชนออนไลน์ทั่วโลก
ในขณะที่แนวคิดของมัสก์เน้นความบันเทิง เซย์เลอร์กลับเล่นใหญ่ในเชิงสัญลักษณ์ โดยวางตัวเป็นผู้นำแห่ง 'จักรวรรดิต้องบิตคอยน์' ที่แท้จริง ผ่านการเปรียบเปรยอำนาจกับจักรวรรดิโรมันโบราณ ซึ่งตอกย้ำแนวทางการบริหารของเขาที่เน้น *บิตคอยน์* เป็นศูนย์กลางยุทธศาสตร์ขององค์กร
ไมโครสตราเทจี(MSTR) บริษัทที่เซย์เลอร์เป็นผู้ก่อตั้ง ได้ถือครอง *บิตคอยน์* อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเพิ่งซื้อเพิ่มอีก 3,081 เหรียญ ทำให้ยอดรวมของการถือครองอยู่ที่ 632,457 เหรียญ โดยมีต้นทุนเฉลี่ยต่อเหรียญอยู่ที่ 73,527 ดอลลาร์ หรือราว 1.02 ล้านบาทต่อเหรียญ คิดเป็นเงินลงทุนรวมประมาณ 46,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 64.6 ล้านล้านบาท) และมูลค่าตลาดปัจจุบันอยู่ที่ราว 71,500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 99.3 ล้านล้านบาท) แสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนกว่า *53%* ซึ่งถือว่าน่าทึ่งในวงการ
ในขณะที่บริษัททั่วไปเพียงใช้สินทรัพย์คริปโตเป็นส่วนหนึ่งของการกระจายความเสี่ยง แต่ไมโครสตราเทจีกลับวาง *บิตคอยน์* เป็นเสาหลักของกลยุทธ์องค์กร ความเคลื่อนไหวล่าสุดของเซย์เลอร์จึงไม่ได้เป็นเพียงการเล่นกับกระแสมีม แต่เป็นการวางตัวเองในฐานะผู้นำยุคใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยโลกทัศน์ *บิตคอยน์เป็นศูนย์กลาง*
แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าเขาตั้งใจพาดพิงถึงมัสก์หรือไม่ แต่พลังของภาพลักษณ์ ‘ผู้พิทักษ์จักรวรรดิคริปโต’ กำลังกลายเป็นสื่อสารสำคัญในการขยายแนวคิด *บิตคอยน์แม็กซิมัส* สู่วงกว้าง
ในท้ายที่สุด เซย์เลอร์ไม่ใช่เพียงนักลงทุนคนหนึ่ง แต่คือบุคคลต้นแบบที่พิสูจน์ให้เห็นว่า *บิตคอยน์* สามารถเปลี่ยนมูลค่าของบริษัท และกำหนดอนาคตขององค์กรได้ ท่ามกลางความผันผวนของตลาดคริปโต ความมุ่งมั่นของเขากลายเป็นแบบอย่างสำหรับซีอีโอสายคริปโตในยุคต่อไป
ความคิดเห็น 0