วอร์เรน บัฟเฟตต์(Warren Buffett) นักลงทุนรายใหญ่ของโลก และผู้นำของเบิร์กไชร์ แฮทธาเวย์(Berkshire Hathaway) กำลังส่งสัญญาณเตือนตลาดอีกครั้ง หลังบริษัทของเขาเพิ่มระดับการถือครองเงินสดแตะจุดสูงสุดทำสถิติ คาดว่าภายในช่วงกลางปี 2025 บริษัทจะถือครองเงินสดและพันธบัตรคลังสหรัฐอเมริกาประเภทระยะสั้น (T-Bill) รวมมูลค่ากว่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 485 ล้านล้านวอน ซึ่งนับเป็นระดับเงินสดสูงสุดในบรรดาบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในปัจจุบัน
*แนวโน้มที่บัฟเฟตต์ให้ความสำคัญกับการถือเงินสดมากผิดปกตินี้ เคยถูกตีความว่าเป็นสัญญาณเตือนก่อนการปรับฐานครั้งใหญ่ของตลาดหุ้น* โดยในอดีต บัฟเฟตต์เคยใช้กลยุทธ์คล้ายกันมาก่อนหน้า ทั้งในช่วงก่อนการแตกฟองดอทคอม และวิกฤตการเงินปี 2008 ซึ่งเป็นจังหวะที่เขาเลือกสสะสมเงินสดล่วงหน้าเพื่อเผชิญกับภาวะตลาดร้อนแรงเกินไป
สถานการณ์ปัจจุบันยิ่งสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน ท่ามกลางการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มชะลอการใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีในกลุ่มแนสแด็กยังคงแสดงทิศทางขาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง การที่บัฟเฟตต์ยังคงเลือก ‘ถือเงินสด’ สวนกับบรรยากาศตลาด ทำให้นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่านี่ไม่ใช่เพียงการ ‘ลดความเสี่ยง’ เท่านั้น แต่เป็น *การคาดการณ์การชะลอตัวทางเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้าง* ล่วงหน้า
และหากตลาดแนสแด็กเกิดกลับทิศทางเป็นขาลง ก็มีโอกาสสูงที่ตลาดคริปโตจะได้รับผลกระทบไปด้วย เนื่องจาก *บิตคอยน์(BTC)* และสินทรัพย์ดิจิทัลหลักอื่นๆ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับดัชนีแนสแด็กในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา กล่าวคือ หากแนสแด็กร่วง บิตคอยน์ก็มีแนวโน้มอ่อนค่าตาม
ภายใต้บรรยากาศที่เปราะบางนี้ ปัจจัยเสี่ยงเริ่มทับซ้อนกันมากขึ้น ตั้งแต่ความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจโลก, โอกาสการกลับมาของ *ประธานาธิบดีทรัมป์*, รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในตลาดดั้งเดิมและตลาดคริปโต
*ความระมัดระวังของบัฟเฟตต์อาจสะท้อนถึงจุดสูงสุดของตลาดในรอบนี้แล้วก็เป็นได้* ความเคลื่อนไหวลักษณะนี้ควรได้รับการจับตาจากนักลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่ถือครองคริปโตที่มีลักษณะเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้น อาจถึงเวลาพิจารณาปรับพอร์ตโฟลิโอเพื่อลดความเสี่ยงในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนเช่นนี้
ความคิดเห็น 0